สวัสดีครับเพื่อน ๆ นักอ่านที่น่ารักทุกคน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีภูมิลำเนาอยู่พิษณุโลก หรือจังหวัดใกล้เคียง แถมคลั่งไคล้ในเสน่ห์ลูกหนังทีมชาติไทยอย่างผมแล้วละก็ ลองเดินทางตามลายแทงแห่งความฝันนี้ตลอดการเดินทางทั้ง 2 วัน 1 คืนด้วยกันเถอะ ก่อนเริ่มทริปสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนครับ นั้นหมายถึงการจองตั๋วชมฟุตบอล การจองตั๋วรถโดยสาร การจองโรงแรม การศึกษาเส้นทาง ศึกษาที่ตั้งของสนามฟุตบอล นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าทุกคนจัดการสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้วเราก็ลุยกันเลย ภาพโดยผู้เขียน 00.30 น. เดินทางขึ้นรถโดยสารประจำทางหน้ามหาวิทยาลัยนเรศวรครับ นับเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มากที่รถรอบเที่ยงคืนครึ่งมี เพราะว่าปกติแล้วทุกครั้งที่ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ผมจะเลือกเดินทางเวลากลางคืนจากพิษณุโลกไปกรุงเทพฯ ใช้เวลารถโดยสารประมาณ 5 ชั่วโมงเศษ นั้นทำให้เราไปถึงกรุงเทพฯ เช้าพอดีไม่ต้องเสียค่าโรงแรมเพิ่ม และการจราจรในกรุงเทพฯ ช่วงนั้นก็ไม่แออัด 05.00 น. โดยประมาณถึงสถานีหมอชิต เรามีเวลาฟรีกว่า10 ชั่วโมงก่อนฟุตบอลจะเริ่มการแข่งขัน เวลาในการแข่งขันจะเริ่มในเวลา 19.00 น. ซึ่งจากการอ่านรีวิวในแหล่งข่าวต่าง ๆ แล้วเราควรถึงสนามก่อน 16.00 น. แต่ตอนนี้ยังรุ่งเช้าช่วงนี้ผมก็ไปหาที่เที่ยวก่อนละครับ เหตุผลอีกอย่างโรงแรมให้เช็คอินตั้งเที่ยงเวลาว่างเยอะมาก แต่ใจจริงอยากนอนมากกว่า ภาพโดยผู้เขียน 12.00 น. ผมจองโรงแรมบริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงครับ เพราะสนามราชมังคลากีฬาสถานตั้งอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงเลย เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าโดยสารเลยจองที่พักใกล้ ๆ สนามเลยครับ เป็นผลดีอย่างมาก ส่วนเส้นทางจากหมอชิตมามหาวิทยาลัยรามคำแหงมีให้เลือกหลายหลากเส้นทางมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิตมาลงสถานีพญาไทแล้วมาต่อแอร์พอร์ตลิงก์สถานพญาไทมาลงสถานีรามคำแหง ต่อวินมอเตอรไซค์อีกนิดก็ถึงแล้วครับ แต่ถ้าใครขี้เกียจแบกกระเป๋าหรือไปกันเป็นกลุ่ม 3-4 คนนั่งแท็กซี่ถือว่าเป็นทางออกที่สะดวกที่สุดครับ ราคาหาร ๆ กันก็ไม่สูงมากครับ ภาพโดยผู้เขียน 16.00 น. หลังจากเช็คอินพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อยได้เวลาแห่งความตื่นเต้นแล้วครับ คือการไปยังสนามกันเลย บรรยากาศข้าง ๆ สนามคึกคักมากครับ เพราะมีแฟนบอลไทยล้วนมาเป็นกำลังใจให้กว่า 4 หมื่นคนบรรยากาศหนาตามากครับ แถมมีวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลให้เห็นมากมายเลย ก่อนอื่นเลยเราเตรียมเอกสารใบจองตั๋วไปแลกตั๋วจริงซึ่งอยู่ก่อนทางเข้าสนามครับ เป็นซุ้มโดมสนามฟุตซอลนั้นแหละครับ ก่อนเข้าสนามก็มีมาตรการความปลอดภัยให้กับแฟนบอลด้วย ทั้งห้ามนำอาหารเข้าสนาม น้ำดื่ม กล้องถ่ายรูปก็ห้ามนะครับ 17.30 น. ประตูทางเข้าจะเริ่มเปิดช่วงเวลานี้คือการวิ่ง ๆ ครับเพื่อไปหาที่นั่งที่ดี ผมขอแนะนำนะครับว่าถ้าเราอยากได้ที่นั่งดี ๆ ควรมาก่อน 16.00 น. ครับและไม่ควรบ้าเล่นกิจกรรมทุกกิจกรรมหน้าสนามเหมือนผมด้วย ผมนี้กว่าจะต่อแถมเข้ามาสนามหาที่นั่งได้ใช้เวลาในการต่อแถวว่า 1 ชั่วโมงเลยครับ ไม่ต้องกังวลไปว่าเราจะไม่มีที่นั่งนะครับ เพราะบัตรเขาขายตามจำนวนที่นั่งอยู่แล้ว ช่วงเวลาต่อจากนี้ก็ซึบซับบรรยากาศในสนามไปครับ 21.30 น. โดยประมาณฟุตบอลจบ จะเป็นช่วงเวลาที่วิกฤตสำหรับมือใหม่หันมาสนามบอลสำหรับผมอีกแล้วละครับ เพราะจำทางกลับไม่ได้ ขากลับก็เดิน ๆ ตาม ๆ เขามาวิธีแก้ที่ง่ายที่สุดนะครับ นั่งวินมอเตอร์ไซค์ครับไม่ว่าจะไกลแค่ไหน พี่วินเค้าคิดราคา 80 บาทครับ หาร 2 ก็คนละ 40 บาท แถมประหยัดแรง เพราะเราใช้แรงในการเชียร์มาหมดแล้ว แมทช์นี้ถึงแม้ทีมชาติไทยจะตกรอบเพราะผลจบลงด้วยการเสมอมาเลเซียไป 2-2 ประตู มีประเด็นดราม่าที่นาทีสุดท้ายไทยเรายิงลูกจุดโทษไม่เข้าและอีกหลาย ๆ เรื่องตามมา ทั้งการยั่วโมโหปะทะคารมณ์ระหว่างนักฟุตบอลทั้งสองทีม ประเด็นดราม่าโค้ชทีมชาติไทย และประเด็ดการตกรอบซูซูกิคัพ ที่เเข่งในวันชาติไทยที่ประเทศไทย นับว่าเป็นฝันร้ายของแฟนตัวยงหลาย ๆ คน แต่กลับผมก็มีความตื่นเต้นที่ได้มาดูถึงขอบสนามกลบอารมณ์เศร้านั้นไว้ครับ แค่นี้เป็นการจบการรีวิวทริปดูบอลสไตล์เด็กบ้านนอกหันเดินทางเข้ากรุง เพื่อเดินตามความฝันไปชมฟุตบอลทีมชาติสักครั้งในชีวิต งบค่าใช้จ่ายโดยรวมค่ารถกรุงเทพฯ – พิษณุโลก ไปกลับคนละ 540 บาท ค่ารถโดยสารในกรุงเทพฯ ตีกลม ๆ หารกันแล้วคนละ 300 บาท (ไปเป็นกลุ่มจะถูกกว่าอีก) ค่าที่พัก 600 บาท (มีราคาถูกกว่านี้นะครับขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาของเรา) ค่าตั๋วใบละ 200 บาท (ยังไม่รวมภาษี) ค่าอาหารของฝากจากสนามหรือช้อปปิ้งขึ้นอยู่กับเราครับ ตีราคารวม ๆ กำเงินไปเที่ยว 2,500 บาทยังเหลือครับ ภาพปกโดยผู้เขียน