การเดินทางของแต่ละคน ย่อมมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน แม้มุ่งไปในเส้นทางเดียวแต่หากหลากหลายในแนวคิด วันนี้เป็นอีกวันที่การเดินทางเข้าป่าของทีมงานที่มุ่งหาความหมายของชีวิต ในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า การเดินทางของเรานั้น เราขับรถออกมาจากโรงแรมที่พักในเมืองพิษณุโลก ถนนหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) มุ่งหน้าสู่ สี่แยกบ้านแยง ไต่ลัดเลาะเส้นทางขึ้นลงเขาเข้ามาจนถึงปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จ่ายค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยาน สถานที่ทางประวัติศาสตร์ภายในอุทยานภูหินร่องกล้ามีจำนวนมาก แต่ด้วยเวลาที่เรามีจำกัด ทีมงานจึงเลือกที่จะเดินชมธรรมชาติ เส้นทางเดินป่าผาชูธง เราจึงขับรถเลยบริเวณที่ทำการอุทยาน ออกไปเล็กน้อย เพื่อไปยังลานจอดรถของเส้นทางเดินป่า ที่บริเวณลานจอดรถ จะมีร้านค้าชุมชนตั้งเรียงราย พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวม้ง ถือว่าเป็นการเสริมรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น ที่บริเวณทางเข้าจะมีมัคคุเทศก์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวม้ง ค่อยแนะนำเส้นทางการเดินป่า หากใครต้องการมัคคุเทศก์นำทาง ก็สามารถจ้างได้ในราคาถูก แต่ทีมงานของเราต้องการเดินและเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงไม่ได้จ้างคนนำทาง ทางเดินในช่วงแรกนั้น จะเป็นลักษณะป่าเตี้ยสลับลานหิน มีลำธารขนาดเล็กที่มีน้ำไหลเพียงเล็กน้อย เพราะช่วงที่เราไปไม่ใช่หน้าฝน บางแห่งน้ำแห้งจนเหลือแค่ร่องรอยว่าเคยเป็นลำธาร แต่ก็ยังพอมีต้นไม้เขียว ๆ ได้หามุมถ่ายรูปกัน เนื่องจากทางเดินขึ้นและเดินทางเป็นเส้นทางเดียวกัน ก็จะได้ยินเสียงสอบถามกันระหว่างคนเดินขึ้นกับคนเดินลง ประเด็นหลัก ๆ คือ ไกลไหม สวยหรือเปล่า ทางชันไหม ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ที่ได้ ก็จะเป็นการให้กำลังใจคนที่กำลังจะเดินขึ้นไป หรือจะหลอกให้ไปเจอด้วยตนเอง ก็สุดแท้แต่จะคิด เราเดินลัดเลาะไต่ระดับความสูงขึ้นมาประมาณ 200 เมตร จะเจอกับป้ายบอกเส้นทาง เราปรึกษากัน ต่างพักเหนื่อยไปด้วย และเลือกเดินเส้นทางขวา ไปยังสุสานนักรบ ลานหินปุ่ม และผาชูธง จุดหมายแรกที่เราเจอ คือ สุสานนักรบ จุดนี้เป็นเหมือนจุดฝั่งร่างของทหารที่เสียชีวิตจากการสู้รบของฝ่ายคอมมิวนิสต์กับทหารไทย จุดที่น่าสังเกตุก็คือ จะมีมวนบุหรี่เสียบด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ เมื่อจุดบุหรี่แล้วจะปักกิ่งไม้ลงไปบนดิน บริเวณที่เป็นหลุมฝั่งศพ เหมือนการถวายเครื่องสักการะแก่ทหารกล้าเหล่านั้น ทั้งที่อากาศก่อนหน้านี้ค่อนข้างร้อน แต่เมื่อมาถึงบริเวณสุสาน อากาศค่อนข้างเย็นลงมาก เราจึงใช้เวลาสำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์ไม่นานนักก็รีบเดินจากไป บอกได้ว่า เหมือนมีใครบางคนแอบบจ้องมองดูเราตลอดเวลา พอพ้นแนวป่าออกมา เราจะเจอกับทุ่งหินกว้างที่ลาดต่ำ ลงไปจากหน้าผา เส้นทางเดินบางช่วงยังมีน้ำไหลผ่านเป็นลำธารเล็ก ๆ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา มีฝนตกค่อนข้างแรง ตลอดเส้นทางเดินก็จะพบเจอเพื่อนร่วมทางอยู่เป็นระยะ บางกลุ่มมากับครอบครัว บางกลุ่มก็มีคนนำทางชาวม้ง ที่ค่อยแนะนำประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในแต่ละจุดของเส้นทางเดิน ด้วยสำเนียงภาษาไทยแบบชาวเขา อันเป็นเสน่ห์ที่น่าฟัง ความสมบูรณ์ของป่าไม้ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีต้นไม้ใหญ่น้อยสลับกันไปตลอดเส้นทาง ทำให้อากาศไม่ร้อนมาก บางช่วงจะมีฝายกั้นน้ำเล็ก ๆ ที่คอยชะลอการไหลของน้ำ ให้ยังความชุ่มชื้นแก่ผืนป่า เราเดินทางนานเท่าไรไม่ทราบได้ เพราะความงามสองข้างทางทำให้เราลืมเวลาไปชั่วขณะ จนมาถึงจุดชมวิวที่เป็นจุดหลักที่หนึ่ง คือ ลานหินปุ่ม เหตุที่เรียกว่าลานหินปุ่ม เพราะหินบริเวณนี้จะถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นรูปร่างตะปุ่มตะป่ำ เต็มไปหมด ลานหินปุ่ม จะอยู่ติดหน้าผา มีลมพัดเย็นสบายตลอดวัน ในอดีตมีคนเล่าว่า จุดนี้จะเป็นจุดพักผ่อนของสหายคอมมิวนิสต์ และผู้ป่วยที่ต้องการพักผ่อน เราไปยืนที่หน้าผา มองออกไปยังผืนป่าเบื้องล่างที่ไกลสุดตา จินตนาการว่า กำลังโบยบินไป ลืมความเหนื่อยล้าไปหมดสิ้น เราใช้เวลาอยู่ที่ลานหินปุ่มค่อยข้างนาน จนนาฬิกาในท้องเริ่มส่งเสียง เราบ่ายหน้าออกจากลานหินปุ่ม มุ่งสู่เป้าหมายสุดท้ายของการเดินทาง คือ ผาชูธง ที่มองเห็นด้วยตาอยู่ลิบ ๆ ธงชาติไทยปลิวไสวตามแรงลม เราลัดเลาะเข้าแนวป่าอีกครั้ง จะโผล่ออกมาเจอหน้าผาเป็นบางช่วง ผาชูธงนั้น เป็นหน้าผาที่มีเนินหินสูงขึ้นไป เป็นจุดที่สูงที่สุด มีเสาธงชาติไทยตั้งอยู่ เหมือนการประกาศชัยชนะของประชาธิปไตยเหนือคอมมิวนิสต์ เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างแคบ ถึงต้องสลับกันขึ้นไปถ่ายภาพ และภาพสุดท้ายก่อนจะจากลา เราทั้งหมดยืนเรียงกันที่ผาชูธง สงบนิ่ง ระลึกถึงทุกชีวิตที่ได้เสียสละเพื่อแผ่นดินไทยของเรา การเดินทาง คือ การเรียนรู้ จงก้าวออกจากทางเดินเส้นเดิม เพื่อสร้างเส้นทางใหม่ให้กับชีวิตตนเอง เพราะชีวิตคือการเดินทาง กินและเที่ยวคือเรื่องเดียวกัน กับทีมงาน กินเที่ยวไปกับหมี ภาพประกอบ ถ่ายโดยทีมงานกินเที่ยวไปกับหมี