เพื่อนผมชื่อ โรคหลอดเลือดสมอง3 ปีกว่าที่ผมมีเพื่อนสนิทชื่อ "โรคหลอดเลือดในสมองตีบ" ซึ่งส่งผลเป็นให้ผมใช้ชีวิตเสมือนคนพิการ แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส คือ อย่างน้อยโรคหลอดเลือดสมองก็ยังเมตตาให้ผมยังคงเหลืออวัยวะไว้ทำมาหากินนั่น คือ สมองในส่วนที่เหลือ โดยเฉพาะ "ความทรงจำ ด้านกฎหมาย"และ"ทักษะทางภาษา"-ทั้งไทยและเทศ ที่ยังสามารถใช้การได้อย่างคล่องแคล่ว กล่าวคือ ผมยังสามารถเป็นกระบอกเสียงให้หลาย ๆ คนได้ตระหนักถึงภัยเงียบที่เรียกว่า "โรคหลอดเลือดสมอง" ไม่ว่าจะเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดสมองแตก หรือโรคหลอดเลือดสมองตัน หรือที่หลาย ๆ ท่านจะเรียกผู้ป่วยเหล่านี้ว่า "ภาวะติดเตียง อัมพฤกษ์ อัมพาต (ครึ่งซีก)" ผมค่อนข้างกล้าพูดว่าโรคนี้คือภัยเงียบ และสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย นี่อาจทำให้ผมประมาทต่อการใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมา (ก่อนป่วย) กล่าวคือ ผมใช้งานร่างกายอย่างหนักหน่วง เพราะคิดว่า แก่ตัวไปค่อย ๆ ลดพลังงานลง เปรียบเทียบง่าย ๆ คุณมีเครื่องจักรอยู่ 1 เครื่อง แต่คุณกลับใช้งานมันหนักเกือบทุกวัน ไม่พังก็เกือบพัง โชคดีที่เครื่องจักรผมแค่เกือบพัง เกือบไปแล้ว พี่น้อง ถึงขนาดบุคลากรทางการแพทย์ประเมินว่า โอกาสรอดมีเพียง 10% แต่โชคดีที่ผมเป็น 10% นั้น ยิ่งไปกว่านั้นผมได้รับการประเมินเบื้องต้นว่า ถึงรอดก็พิการถาวร แต่วันนี้ผมกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบ 100% ผมไม่เถียงว่ามันอาจจะใช่ปาฎิหาริย์ แต่ปาฏิหาริย์คงไม่น่าจะเกิดขึ้นเองโดยไม่มีต้นเหตุ/สาเหตุนะครับ จริง ๆ แล้วผมขอย้ำตรงนี้ว่า ชีวิตคุณจะเป็นไปในแบบที่ทัศนะคติ หรือตามที่คุณคิด+เชื่อ สู้ต่อ หรือ ยอมแพ้ถ้าคุณเป็นผมในขณะนั้น ไม่ยอมแพ้ก็สู้ต่อ แต่มันมีความคิดผมผุดขึ้นมาว่า ถ้าผมถึงคราวต้องไป ก็ต้องไปนานแล้ว แต่ผมได้สิทธิอยู่ต่อมันน่าจะมีเหตุผลให้อยู่ต่อหรือไม่? จากนั้นผมเลยมีแรงฮึดไม่รู้มาจากไหน ขยันกายภาพสุดจัดปลัดบอก ถึงจะเหนื่อยแต่กำลังใจจากตัวเองคงไม่พอ ผมต้องกราบขอบพระคุณคนรอบข้างที่ส่งพลังบวกมาให้เสมอ ผมได้รับครับ อยากตอบแทนคืนบ้าง ทว่าสังขารขณะนี้ไม่เอื้อ แต่ถ้าบทความนี้ถือเป็นการสร้างเนื้อนาบุญเพิ่ม ขออุทิศผลบุญให้แก่พลังบวกเหล่านั้นด้วยนะครับเมื่อคนเราจะต้องตายครั้งเดียว // ผมจะรีบตายเพื่อ? ช่ะ?? มันจึงมีอีกความคิดแทรกมาว่าอยู่สร้างสรรค์ให้โลกนี้น่าอยู่ ดีกว่าอยู่หายใจทิ้งไปวัน ๆ ดังนั้นส่วนตัวผมจึงมองว่าคนที่ประสบปัญหากับโรคมันแย่อยู่แล้ว แต่ห้ามคิดว่าตัวเองอยู่เป็นภาระตราบเท่าที่คุณกายภาพ เพราะการกายภาพน่าจะถือเป็นพลังบวกที่คุณส่งต่อให้กับคนข้าง ๆ คุณ ฉะนั้นอยู่แบบเป็นภาระ คือ อยู่แบบไม่กายภาพ+หายใจทิ้งไปวัน ๆ อย่าลืมทานยานอกจากการกายภาพและกำลังใจ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่หลงลืมไม่ได้ คือ การทานยา โดยเฉพาะยาสลายลิ่มเลือดตามที่แพทย์สั่ง เพราะเราต้องไม่ลืมนะครับว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเสี่ยงเป็นซ้ำ ดังนั้นด้วยพฤติกรรม (แบบเดิม ๆ)ก็ดี เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เครียด ฯ หยุดให้หมดนะครับ รวมถึงทานยาให้ตรงเวลา และต้องยินดีด้วยครับคุณได้รับสิทธิทานยานี้ไปตลอดชีวิต ! ดังนั้น ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดยา คุณต้องปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ทันที ไม่เช่นนั้นสู่ขิต ทานสมุนไพร กระทบค่าเลือดนะและสุดท้ายผมขอเตือนด้วยความหวังดี พวกสมุนไพร ต่าง ๆ ที่เขา (ใครก็ไม่รู้) บอกว่าช่วยรักษา เขาหายกันมาเยอะแล้ว คิด สิ คิด ถ้าเขารักษาหายป่านนี้ ไม่ขายกันเต็มท้องตลาดหรอครับ จะเก็บไว้ทำไม? ดังนั้น อาหารเสริมก็ดี อาหารก็ดี จงระวังให้มาก เพราะมันส่งผลกับฤทธิ์ยา - ถ้าเพิ่มขึ้น โอกาสเลือดซึม มีสูง เช่น เลือดไหลในกระเพราะอาหาร - ลำไส้ (ภาวะเส้นเลือดเปราะบาง) ถ้าไปลดฤทธิ์ยา เท่ากับว่า โอกาสเสี่ยงเป็นซ้ำมีสูง ยิ่งเราเป็นผู้ป่วยโรคนี้ เท่ากับว่าความเสี่ยงจะมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว ดังนั้น บทความนี้จึงน่าจะเหมาะกับกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแล ย้ำนะครับ ผมไม่ใช่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ แต่เป็นนักกฎหมาย ดังนั้นมีปัญหาสุขภาพถามคุณหมอนะครับไม่ใช่ถามผม // ด้วยรักและมันแกวปล. อย่าลืมดื่มน้ำด้วยนะครับ -> เลือดจะได้ไม่ข้น ดื่มน้ำด้วยนะ ท้ายนี้กราบขอบพระคุณรูป ปก โดย William Farlow จาก unsplash2. รูป เพื่อนผมชื่อ โรคหลอดเลือดสมอง โดย geralt จาก pixabay3. รูป สู้ต่อ หรือ ยอมแพ้ โดย HeteroSapiens จาก pixabay 4. รูป อย่าลืมทานยา โดย jarmoluk จาก pixabay5.รูป ดื่มน้ำด้วยนะ โดย1465301 จาก pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !