ถือเป็นภาคจบของลาภมิควรได้ (สักที) โดยบทความนี้ ผมขอถือโอกาสสรุป และตั้งข้อสังเกตถึงสองบทความก่อนหน้า เพื่อให้ลาภมิควรได้ฉบับไตรภาค จบอย่างบริบูรณ์ลาภลอย1. ลาภมิควรได้ ในทางกฏหมายโรมัน มีขึ้นเพื่ออำนวยความเป็นธรรมให้คนที่เสียประโยชน์ (ผู้ที่มีสิทธิในลาภงอก) สามารถทวงคืนประโยชน์จากผู้ไม่มีสิทธิ เพราะความสัมพันธ์ของคนเราในสังคม มันก็ต้องมีผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น ใครก็ตามที่อาจได้ลาภลอย โดยทั่วไปคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณโชคดีได้ลาภลอย แต่ในสายตากฎหมาย ตราบใดที่คุณไม่สามารถหาเหตุผลทางกฎหมายมารองรับได้ คุณ (ในฐานะพลเมืองดี) จึงไม่สมควรที่จะยึดถือลาภลอยดังกล่าวไว้ได้ จึงต้องคืนให้แก่คนที่มีสิทธิ (ในลาภลอย) ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คนหนึ่งได้ประโยชน์ จากไม่ลงมือทำอะไร แต่ อีกรายก็เสียประโยชน์แม้จะทำอะไร (เหนื่อย) ส่วนตัวผมเลยมองว่า กฎหมายจึงน่าจะเข้ามาสร้าง+อำนวยความเป็นธรรมให้ผู้ที่ได้ลาภงอก มีหน้าที่ต้องคืนแก่ผู้มีสิทธิไม่เห็นด้วย2. กรณีลาภลอยที่เป็นเงินนั้น แม้ว่า แนวคำพิพากษาฎีกาจะมองว่า เมื่อสุจริตก็ต้องคืนเท่าที่เหลือ แต่ส่วนตัวผมว่าลาภที่เป็นเงินมันก็จำต้องคืนเต็มจำนวน อย่างน้อยเราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เงิน มันไม่เหมือนทรัพย์สินทั่ว ๆ ไปที่มันอาจเน่าเสียได้ ถึงจะถือนานเพียงใดเงินก็ไม่เน่าเสีย อย่างน้อยคุณเก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ ก็มีแต่ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น กลับกันเมื่อเงินจำต้องอยู่นิ่ง ๆ มันก็ควรจะออกดอกออกผลได้ด้วย (ไม่ต้องรดน้ำพรวนดิน) พิจารณาอย่างง่าย แค่คุณนำเงินไปฝากธนาคาร คุณก็ได้รับดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้นการคืนเงินกรณีสุจริต กับการคืนเงินแบบทุจริต ส่วนตัวผมมองว่า คุณก็มีหน้าที่คืนเงินเต็มจำนวน เฉพาะกรณีแรกคุณไม่ต้องคืนพร้อมดอกเบี้ย แต่ในทางกลับกัน กรณีหลังคุณก็ควรต้องจ่ายดอกเบี้ย เพราะน่าจะถือเป็นการสะท้อนว่า ในระหว่างที่คุณใช้เงินเขา เขาเสียประโยชน์ ดังนั้น ก็ควรต้องคืนเงินต้นบวกดอกเบี้ยไปด้วย ผมไม่ทราบว่าจะมีข้อแย้งไหมครับ? เพราะสิ่งเหล่านี้ผมก็คิดไปเรื่อย เถียงได้เลยนะครับเรียก "เงิน" คืน ฐานลาภมิควรได้3. ต่อจาก 2. การคืนเงิน บางสำนักวิชาอาจมองว่าเป็นการใช้สิทธิในเชิงทรัพย์สิน ผมมองว่า อาจจะถูกต้องก็ต่อเมื่อคุณเรียกเงิน/ธนบัตรใบเดิม แต่ในทางปกติประเพณี การใช้เงินเรามักคำนึงเพียงมูลค่าหรือไม่? เท่ากับว่าการเรียกคืนเงินดังกล่าวนั้น ส่วนตัวผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วย ว่าเป็นการเรียกในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ในทางตรงกันข้าม มันน่าจะเป็นการเรียกคืนเพราะเป็นบุคลสิทธิ ตามที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นคงดูตลกว่า ถ้าคุณนำเงินไปฝากธนาคาร แล้วธนาคารต้องมาจดเลขบนธนบัตรด้วย เพราะตอนคุณถอนเงินฝากคืน ธนาคารก็จำต้องคืนธนบัตรใบที่คุณฝาก - หรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น คงจะขัดกับมาตรา 672 ที่ว่าถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน อนึ่ง ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดังว่านั้นจากข้อความที่ผมเน้นตัวหนา แม้ว่า "เงิน" จะได้สูญหายเพราะเหตุสุดวิสัย (คาดหมายไม่ได้) อาจเทียบได้กับ สุจริตจนใช้เงินหมด ผู้รับลาภซึ่งเป็นเงินจึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า ใช้เงินจนหมดเลยไม่ต้องคืนจากมาตราดังกล่าวยิ่งยืนยันว่า "หนี้เงิน" ปกติประเพณีถ้าต้องใช้แลกเปลี่ยนสินค้า คงไม่มีใครมานั่งดูเลขที่บนธนบัตร เว้นแต่ คุณจะซื้อขายธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์เก่าเพื่อสะสม เลขที่บนธนบัตรก็ดีและเหรียญ(ที่ระลึก)ก็ดี ซึ่งคนประสงค์จะเก็บสะสมโดยฝ่ายผู้ซื้อยินยอมจ่าย มากกว่ามูลค่าของเงินตรา ซึ่งกรณีเช่นนี้ธนบัตร-เหรียญรุ่นเก่าได้เปลี่ยนสถานะจากสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เป็นสินค้า แล้วใช้เงินจริงมาชำระราคาของเก่า (ธนบัตร-เหรียญเก่า) -พอก่อนนะครับเดี๋ยวหัวบวม- ท้ายนี้ขอบพระคุณภาพภาพปก โดย Malvestida Magazine / Unsplashภาพที่ 1 โดย almumtazza / freepikภาพที่ 2 โดย drobotdean / freepikภาพที่ 3 โดย vectorjuice / freepikภาพที่ 4 โดย cookie_studio / freepikย้ำนะครับ ห้ามนำไปอ้างอิง ขอร้องเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !