ตามที่เป็นข่าวว่า https://www.bbc.com/thai/thailand-53332376 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) คู่ชีวิต เพื่อส่งเสริมผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศให้มีสิทธิ-เสรีภาพเทียบเท่า ช-ญ ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนขออนุญาตชี้แจงประมาณ 3-4 ประเด็นเพื่อให้สังคมได้รับทราบว่า ครม. 1. มติ ครม. ไม่ใช่กฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไป แต่อย่างน้อยก็ยังพอเห็นแสงสว่างอยู่ปลายอุโมงค์ว่า ทิศทางการยอมรับการสมรสของเพศเดียวกันมีโอกาสเกิดขึ้นในเมืองไทยได้ ดังที่เกิดในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก รับไม้ต่อ 2. ขั้นต่อไป คือ เมื่อรัฐสภารับไม้ต่อจากรัฐบาลผ่านมติ ครม. จากนั้นรัฐสภาจะร่วมกันวิเคราะห์/ถก ร่าง พรบ. ดังกล่าว ในอนาคต แล้วจึงประกาศหรือไม่ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ถ้าประกาศใช้จะเรียกว่าพระราชบัญญัติ และตีพิมพ์ผ่านราชกิจจานุเบกษาในลำดับถัดไป เลือกตั้ง 3. ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง จึงไม่มีอำนาจประกาศใช้กฎหมาย เหมือนสภา (สภาผู้แทนราษฎร) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ดังนั้น เราจะสังเกต คำเรียกบทบัญญัติของรัฐได้แตกต่างกัน คือ พระราชบัญญัติ จะใช้ในกรณีที่ร่างกฎหมายผ่านรัฐสภา ส่วนถ้าบทบัญญัติที่ออกโดยรัฐบาล จะเรียกว่า พระราชกำหนด เช่น พระราชกำหนดเงินกู้ เป็นต้น ปัจุุบันเฉพาะ ช-ญ เท่านั้น ที่สามารถจดทะเบียนสมรส (ได้ตามกฎหมาย) 4. นอกจาก ร่างฯ กฎหมายฉบับนี้ ยังมีอีกหนึ่งร่างกฎหมายที่พิจารณาไปพร้อมกัน คือ ร่าง พรบ. แก้ไข/เพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่ง-พาณิชย์ที่ (ขณะนี้) กำหนดให้เฉพาะ ช-ญ เท่านั้นที่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย เท่ากับว่าปัจจุบันตามประมวลกฎหมายแพ่ง-พาณิชย์รับรองเพียงการสมรสเฉพาะเพศตรงกันข้ามเท่านั้น การสมรสจึงไม่สามารถบังคับใช้ได้กับเพศเดียวกัน -> ส่งผลให้เกิดข้อสงสัยว่า 4.1 ทำไมไม่แก้เฉพาะ กฎหมายแพ่ง-พาณิชย์เพื่อให้สามารถบังคับใช้เป็นการทั่วไป ทั้งคนต่างเพศและเพศเดียวกัน 4.2 ถ้าแก้เพียงกฎหมายตามข้อ 4.1 ร่าง พรบ. คู่ชีวิตย่อมไม่มีความจำเป็นต้องผ่านสภาอีก เพราะมันจะกลายเป็นการแยกในแยกอีกที 4.3 ฝ่ายคัดค้านอาจมองว่า ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ก็รับรองสิทธิของคนรักเพศเดียวกันแล้ว จะเรียกร้องอะไรอีก? 4.4 ฝากถึงฝ่ายที่คัดค้านโปรดกลับไปอ่าน ข้อ 4.1 อีกครั้ง การจดทะเบียนสมรส 4.5 กลับมาเรื่อง "การจดทะเบียนสมรส" ที่รัฐรับรองนั้น มันควรมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ส่วนตัวผมมองว่า "ความรัก" ไม่ใช่การมีบุตร เพราะถ้ารัฐต้องการจะรับรองการมีบุตรเท่านั้น แปลว่า ถ้า ช-ญ คู่ใดจดทะเบียนสมรสแล้วไม่มีบุตร = ทะเบียนสมรสเป็นอันใช้ไม่ได้หรือ? แท้จริงแล้วทะเบียนสมรสจึงน่าจะรับรอง "ความรัก" ของคู่รักหรือไม่ เพราะถ้าไม่รัก คงไม่คิดจะไปจดทะเบียนสมรส ส่วนบางคู่รักที่ไม่คิดจะจดทะเบียนสมรสก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รัก ดังนั้น ลึก ๆ แล้วทะเบียนสมรสจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก ไม่ใช่การมีบุตร เทียบเคียง การจดทะเบียนโอนที่ดินที่กรมที่ดิน ทำไมเราจึงต้องไปจดทะเบียนที่กรมที่ดิน? ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน คือ กฎหมายบังคับให้ทำ แต่ลึก ๆ แล้ว กฎหมายน่าจะต้องการยืนยันว่าผู้ขาย (ผู้โอน) มีสิทธิที่จะโอน และผู้ซื้อ (ผู้รับโอน) กำลังจะได้สิทธิ เพื่อไม่ให้คู่กรณีต้องมาพิพาทในภายหลังว่า ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ทะเบียนสมรสคงไม่สามารถพิจารณาในบริบทของทรัพย์สินได้ แต่น่าจะมีจุดร่วม คือ สายสัมพันธ์อันดี - กรณีทะเบียนสมรส ที่เรียกว่า "ความรัก" ส่วนเรื่อง กรรมสิทธิ์นั้น เราจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับทรัพย์สินที่เรียกว่า กรรมสิทธิ์ หรือ 'ความเป็นเจ้าของ' ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองว่า การจดทะเบียนสมรสน่าจะเชิดชูความรักมากกว่าความสามารถในการการมีบุตร ทว่า หากพิจารณาถึงวิทยาการในปัจจุบันที่การให้กำเนิดบุตรสามารถทำได้ง่ายขึ้น นั่นแปลว่าคู่รักเพศเดียวย่อมสามารถมีบุตรได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิธีทางธรรมชาติอีกต่อไป และกฎหมายปัจจุบันก็มีกฎหมายรองรับแล้ว เช่น การรับบุตรบุญธรรม และ/หรือ พรบ. อุ้มบุญ พ.ศ. 2558 เป็นต้น ดังที่ผมได้อธิบายมาทั้งหมดจึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ทะเบียนสมรสน่าจะรับรองเรื่อง "ความรัก" เหนือสิ่งอื่นใด และการประกาศใช้ ร่าง พรบ.ฯ อาจดูเหมือนเป็นการรับรองความรักในกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่ แต่ แต่ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการแก้ไขกฎหมายเรื่องการข่มขืน ให้สามารถเอาผิดฐานข่มขืนเพศเดียวกันได้ตามประมวลกฎหมาย อาญา และเพิ่มสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ในกรณีที่คู่สมรสตัวเองไปมีสัมพันธ์กับทั้งชาย และ/หรือหญิงอื่นที่ไม่ใช่คู่ของตัวเอง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้สิทธิคู่สมรสฝ่ายที่เสียหายสามารถเรียกค่าเสียจากชู้ โดยไม่ต้องพิจารณาเพศ ... แต่ด้วยเหตุผลอันใดการรับรองสิทธิของ LGBT จึงต้องแยกกฎหมายใช้คนละฉบับ (ถ้าเป็นการลงโทษ กฎหมายสามารถลงโทษ กลุ่ม LGBT ได้ แต่ถ้าเป็นการรับรองสิทธิทำไมต้องใช้กฎหมายคนละฉบับ? - ไม่ตลกหรอครับ) ยกตัวอย่าง การที่ คนคนหนึ่งจะเลือกเสื้อซื้อผ้าสักชิ้น ไม่ได้แปลว่า เขาคนนั้นไม่มีสิทธิที่จะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ตรงกับเพศกำเนิดของตน แต่ ต้องซื้อเสื้อผ้าเพศตรงข้าม หรือ? ถ้าเขาจะซื้อไปด้วยวัตถุประสงค์ใด เราก็ไม่ควรจะไปก้าวก่ายสิทธิ-เสรีภาพหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะซื้อใส่เองหรือให้คนรัก และเราต้องไม่สนว่าแฟนของเขาเป็นเพศอะไรด้วย ต่างกับการเข้าห้องน้ำที่ต้องแยกเพศเพราะ คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้หญิงและท่วงท่าในการขับถ่ายของช-ญมีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นถ้าจะเลือกปฏิบัติ ต้องมีเหตุผลรองรับเสมอ มิฉะนั้นเราคงจะเห็นโถปัสสาวะชายในห้องน้ำหญิง ส่วนตัวผมจึงมองว่า ยิ่งเราพยายามจำแนกกลุ่มคนโดยใช้กฎหมายที่ต่างฉบับ ให้มีผลบังคับเหมือนกัน มันจะกลายเป็นเราพยายามแบ่งแยกกลุ่มคนทางอ้อมอยู่ดี หรือ ความไม่เสมอภาคในคราบความเสมอภาค ท้ายนี้ผมจึงเห็นต่างว่า เพียงแค่แก้กฎหมายเพียงฉบับเดียว คือ ประมวลกฎหมายแพ่ง-พาณิชย์ น่าจะเป็นทางออกที่ไม่สิ้นเปลืองต้นทุนทางสังคมที่สุด #Love wins บทความนี้จะสำเร็จไม่ได้ หากไม่มีการถกเถียงในชั้นเรียนกฎหมายปี 4 เมื่อวันที่ 8/07/20 ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และแฟนผมที่ต่างประเทศ ซึ่งเราได้ถกประเด็นนี้กันอย่างถึงพริกถึงขิง แล้วเขาก็ทิ้งท้ายว่า Love is unconditional. ท้ายที่สุดจริง ๆ ผมแอบเชื่อลึก ๆ ว่า ความรักมันไม่ควรจะมีเงื่อนไขใด ๆ เพราะรักก็คือรัก! ปล. ขอบพระคุณภาพ 1.ปก โดย Jason Leung จาก https://bit.ly/38ZEKUo 2. ครม. โดย Clker-Free-Vector-Images จาก https://bit.ly/3fc75sE 3. รับไม้ต่อ โดย freepik จาก https://bit.ly/2Wi8K8T 4. เลือกตั้ง โดย Clker-Free-Vector-Images จาก https://bit.ly/3fgwWjd 5. ปัจุุบันเฉพาะ ช-ญ เท่านั้น ที่สามารถจดทะเบียนสมรส (ได้ตามกฎหมาย) โดย freepic.diller จาก https://bit.ly/2DmDgYl 6. การจดทะเบียนสมรส โดย freepic.diller จาก https://bit.ly/2ZcR1BB