บทความนี้ค่อนข้างจะวิชาการหน่อยนะครับเพราะมันจะเกี่ยวกับหัวงานงานวิจัยของผม และผมรวมถึงคณะผู้วิจัยอยากให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของการ 1) การแข่งขันในตลาด 2)พฤติกรรมผู้ประกอบการและผู้บริโภค 3)เทคโนโลยี มันมีความเกี่ยวพันอย่างไร ตลาดสมมุติว่า ในตลาด (อาจจะเป็นตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้า) มีการขายสินค้าอยู่ 1 ชิ้น/ประเภท คำถามคือ ถ้าไม่มีการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายอื่นเลย? ใครจะรับผมเสียครับ?ผู้บริโภคถูกต้องนะครับ "ผู้บริโภค" เพราะ เขาจะถูกบังคับซื้อสินค้าในราคาที่กำหนดโดยผู้ประกอบการตามใจชอบ และในขณะเดียวกัน อะไรคือหลักประกันว่าสินค้าดังกล่าวจะมีคุณภาพ อธิบายง่าย ๆ คือ ผู้ประกอบการสามารถ 1) กำหนดราคา และ 2) กำหนดคุณลักษณะของสินค้าได้ตามใจชอบ ดังนั้น ตลาดที่ดีจึงควรต้องสนับสนุนการแข่งขันเสรีเพื่อ 1) ให้ผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าของตัวเองให้เข้าตาผู้บริโภค 2) สินค้าที่มีคุณภาพเท่านั้น จะได้รับการสนับสนุน 3) การแข่งขันในตลาดที่ดีนั้นเปรียบเสมือนการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาสินค้าให้ดี เพื่อแลกกับรายได้/กำไรที่เขาสมควรจะได้ 4) เปลี่ยนผู้กำหนดทิศทางของตลาดจาก "ผู้ประกอบการ" เป็น "ผู้บริโภค" ด้วยเหตุผลนี้ กฎหมายแข่งขันทางการค้าจึงมีเจตนารมณ์เพื่อสนับสนุน 1)การแข่งขันทางการค้าโดยเสรี 2) ธำรงไว้ซึ่งประโยชน์ของผู้บริโภค เพื่อให้ตนสามารถอุปโภคบริโภคสินค้าหรือรับบริการที่มีคุณภาพ ดังนั้น หน่วยงานรัฐจึงต้องย้ำเตือนว่าตัวเองมีหน้าที่เพียงพิจารณาการประกอบธุรกิจที่ขัดต่อการแข่งขันโดยเสรี หาใช่เป็นผู้เข้าไปกำหนดว่ากลไก/ทิศทางตลาดควรจะขับเคลื่อนอย่างไร เพราะผู้เล่นสำคัญในตลาดที่ถือเป็นตัวละครหลัก ย่อมหมายถึง "ผู้ประกอบการ" และ "ผู้บริโภค" เท่านั้น คล้าย ๆ กับการลงสนามเตะฟุตบอล ผู้เล่นทั้งสองทีม ลงเตะเท่านั้น หน่วยงานรัฐทำหน้าที่แค่คุมกติกา มิใช่ลงไปเตะกับอีก 2 ทีม เสมือนเป็นผู้เล่นทีมที่ 3 - มันจะดูตลกนะครับในสนามฟุตบอลมี 3 ทีม โดยที่กรรมการเล่นจะอยู่คนเดียว เป็นทั้งแนวรุก แนวรับ และรักษาประตู (คุมกฎเอง เตะเอง รักษาประตูเอง นักเลงพอ) แค่คิดก็ปวดหัวแล้วครับซอฟต์แวร์ทว่า เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในตลาดมากขึ้น มองในมิติหนึ่ง คือ การลดต้นทุนการผลิต ซึ่งทำให้สินค้าหรือบริการมีราคาถูกลง เช่น ผู้ประกอบการใช้เครื่องจักรมาใช้ในกระบวนการผลิตแทนที่ใช้แรงงานคน ย่อมเห็นได้ชัดว่า ต้นทุนจะต่ำลงอย่างมาก และสามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมากขึ้น หากมองเพียงเท่านี้ เหมือนจะดีนะครับ เพราะเครื่องจักร สนับสนุนการแข่งขันในตลาดและอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภค ทว่า บางครั้ง ตัวเทคโนโลยี หรือที่เรามักเรียกว่า ทรัพย์สินทางปัญญา นี่เองเข้ามาทำให้การแข่งขันเสรีถูกบิดเบือน เช่น ระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันไม่มีสัญญากำหนดราคาสินค้าบริการที่ตนผลิต แต่ ดันไปกำหนดในสัญญาอนุญาตใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาแทน ทำให้ราคาสินค้าสามารถขึ้นลงได้ผ่านผู้ประกอบการที่เป็นผู้ทรงทรัพย์สินทางปัญญาทางอ้อม กล่าวคือ ไม่ได้กำหนราคาสินค้าที่ปลายน้ำ แต่ไปกำหนดราคาที่ต้นน้ำแทน เพื่อพยายามเลี่ยงบาลีว่า เขาไม่ได้ไปกำหนดราคาสินค้าหรือบริการ (ปลายน้ำ) นะ ผู้อ่านอาจจะพอมองเห็นภาพมากขึ้น ถ้าผมยกตัวอย่างว่า คุณผู้อ่านกำลังจะไปซื้อคอมพิวเตอร์ยี่ห้อหนึ่งในราคา หนึ่งนั้น ลองถามตัวท่านเองว่า ราคาคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมันขึ้นลงเหมือน น้ำมัน - ทองคำหรือไม่? ตอบเลยก็ไม่ อย่างน้อยคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะถูกลงหรือแพงขึ้น มันน่าจะเป็นผลโดยตรงจากราคาซอฟต์แวร์ด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดซอฟต์แวร์เถื่อน เพื่อให้ราคาคอมพิวเตอร์ถูกลง -พอครับ- เดี๋ยวเครียดไปปล.คณะผู้วิจัยอ่านด้วยนะครับ อย่าลืมเสาร์นี้มีประชุมบ่ายนะเธอ ห้ามป่วย ห้ามเจ็บ ห้ามรักหัวหน้าโครงการ แจกันอนึ่ง ซอฟต์แวร์ ถือเป็นงานวรรณกรรมชนิดหนึ่งตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เมื่อราคาซอฟต์แวร์ราคาขึ้น ราคาคอมพิวเตอร์ย่อมสูงขึ้น สินค้าราคาสูง ผู้บริโภคส่วนไหนของโลกจะซื้อครับ ราคาเพียงเท่านี้ผู้อ่านอาจมองเห็นภาพนะครับว่า ราคาสินค้าในยุคปัจจุบันอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามกลไกตลาดอีกต่อไป แต่เทคนิคการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาสินค้าบริการอาจถูกกำหนดโดยเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง หรือ แทรกหรือถูกบรรจุลงในสินค้าหรือบริการ ด้วยเหตุนี้ ผมและคณะวิจัยจึงมีความจำเป็นต้องหาทางออก ว่าปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ให้ตลาดสามารถแข่งขันโดยเสรี และผู้บริโภคยังคงได้รับสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ ท้ายนี้ขอบคุณ1.คณะผู้วิจัย2. ภาพปก โดย ThisisEngineering RAEng จาก unsplash3. รูปที่ 1 โดย pikisuperstar จาก freepik4. รูปที่ 2 โดย pch.vector จาก freepik5. รูปที่ 3 โดย upklyak จาก freepik6.รูปที่ 4 โดย kstudio จาก freepik