มีสอน พฤหัสบดี นี้ในวันพฤหัสบดีนี้ (28 ม.ค. 64) ผมมีสอนนิสิตวิชาปัญหาพิเศษกฎหมายธุรกิจ ในหัวข้อ "หลักประกันทางธุรกิจ" โดยบรรดานิสิตที่เข้าร่วมชั้นเรียน ชัดเจนว่าไม่มีประสบการณ์ทำงาน ทำให้การเรียนการสอนในวิชานี้ค่อนข้างจะท้ายทายผู้สอน เพราะจะอธิบายให้นิสิตเห็นภาพ และเข้าใจอย่างง่ายได้อย่างไรในหัวข้อดังกล่าว ดังนั้น หน้าที่ของผู้สอน คือ การเล่าที่มาในภาษาง่าย ๆ ดังนี้หลักการเบื้องต้นคือทุนนิยม1. ในระบบเศรษฐกิจในแบบทุนนิยม หมายถึง นิยมทุน (พูดเพื่อ?) ไม่ตลก คือ ระบบที่ปัจจัยการผลิตนั้นผู้ว่าจ้าง (นายจ้าง) ผู้ประกอบการ จะรับผิดชอบเพื่อให้ทั้งสินค้าและบริการ หมุนเวียนไปได้ในระบบนี้ เช่น โรงงานผลิตสินค้าออกจำหน่าย เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค ใช้สินค้า/บริการ (ผู้ผลิต) แลกเงิน (ผู้บริโภค) เมื่อกิจการมีกำไร/รายได้มากขึ้น ชัดเจนว่ากำลังการผลิตต้องสูงขึ้น เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และในขณะเดียวกัน จะต้องแข่งขันกับคู่แข่ง โดยใช้กลไกการประหยัดต้นทุนให้ได้มากที่สุด ทว่าการขยายกำลังการผลิตนั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงการจ้างคนงานเพิ่มอย่างเดียว แต่มันรวมถึงขยายขนาด ซื้อเครื่องจักร หรือแม้กระทั่งการว่าจ้างลูกจ้างเพิ่มเติม จากสถานการณ์เหล่าทำให้เกิดปัญหาว่า ผู้ประกอบการจะหาเงินที่ไหนมาเพิ่มกำลังการผลิต ถ้าผู้ประกอบการไม่มีเงินทุนจำนวนมาก ถูกต้องครับ "สถาบันการเงิน" สถาบันการเงินคำว่าสถาบันการเงินที่เราคุ้นเคย คือ "ธนาคาร" ซึ่งเป็นแหล่งเงินที่เต็มใจที่จะปล่อยเงินกู้ หรือมีชื่อเรียกว่า "สินเชื่อ" ภาษาชาวบ้านคือ เงินกู้ แต่นิสิตต้องไม่ลืมว่า ธนาคารก็เป็นองค์กรธุรกิจที่จะต้องมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าบำรุงระบบ ค่าจ้างพนักงาน ดอกเบี้ยเงินฝาก ฯ คำถามคือ แล้วธนาคารจะหารายได้จากตรงไหนมาจ่าย คำตอบ คือ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตรก็ดี และที่สำคัญ คือ ดอกเบี้ยเงินกู้ โดยเฉพาะ "ดอกเบี้ยเงินกู้" มักสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากเสมอ มิเช่นนั้น ธนาคารคงจะขาดทุน หรือไม่ก็มอดม้วย นอกจากนี้หลักการเรียกดอกเบี้ยจะมากหรือน้อยนั้น ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ธนาคารก็เรียกในอัตราที่ตนพอใจ แต่มันจะไปผูกโยงกับความน่าเชื่อถือของผู้กู้ ความน่าเชื่อถือในที่นี้หมายถึงความสามารถในการจ่ายหนี้เงินกู้ ตามเวลาที่กำหนดครบทั้งต้นและดอก เพราะฉะนั้น พนักงานประจำจึงมักเสียดอกเบี้ยถูกกว่า freelance นอกจากแหล่งรายได้ของผู้กู้ ธนาคารมักพิจารณาว่าผู้กู้มีทรัพย์สินใดต่อไปนี้บ้าง อาทิ รถยนต์ รถจักยานยนต์ บ้าน ที่ดิน นาฬิกา กล้องถ่ายรูป อัญมณี ทรัพย์สินมีค่าอื่น ๆทำไม? ต้องทรัพย์สินมีค่าตอบ มันจะทำให้เจ้าหนี้ (ธนาคาร) อุ่นใจว่า ถ้าลูกหนี้บิดพริ้วไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์ของลูกหนี้ขายทอดตลาดนำเงินมาใช้หนี้ได้ หลักทรัพย์ค้ำประกันบางครั้งการทำสัญญาเงินเพื่อกิจการหรือกู้ซื้อ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ผู้ให้กู้จะบังคับให้ผู้กู้ทำประกันชีวิต เผื่อมีเหตุที่ไม่คาดหมายเกิดขึ้น และให้หลอกว่าผู้รับประโยชน์คือผู้ให้กู้ ทั้งนี้ก็เพราะธนาคารมองว่า ระหว่างที่ผู้กู้ชำระต้นและดอกเบี้ย อาจมีเหตุการณ์ที่คาดหมายไม่ได้ ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้คืนลดลง ดังนั้น ธนาคารจึงพยายามปิดความเสี่ยง โดยการโอนความเสี่ยงให้ผู้รับประกันโดยผู้จ่ายเบี้ย ใช่เลยครับผู้กู้ นอกจากประกันชีวิตของผู้กู้ บางเจ้าจะให้ทำประกันอัคคีภัย และนิสิตต้องไม่ลืมว่าตอนไปขอเงินกู้บ้าน ในโฉนด จะเขียนว่า "ติดจำนองกับธนาคาร" อย่างที่ผมได้อธิบายตอนต้น คือ ทรัพย์สินของลูกหนี้จะถือเป็นหลักประกันการชำระหนี้ได้ สมมุติผู้กู้ไม่สามารถหาเงินมาชำระต้นและดอก ได้ตามที่สัญญา ง่ายสุด คือ คุณก็ออกจากบ้าน เพื่อให้ธนาคารเข้ายึดอสังหาริมทรัพย์ แล้วนำไปขายทอดตลาด มาชำระหนี้เงินกู้ (ต้น+ดอก) ถามว่า ตอนคุณซื้อบ้านวันนี้ กับบ้านในอีก 5-10 ปี ราคามันต่างกัน ธนาคารเขาเห็นจุดเด่นตรงนี้ของราคา มันมีแต่จะเพิ่ม แล้วถามว่า เราจะไปเรียกร้องราคาที่เพิ่มสูงขึ้นได้ไหม โดยหลักการมันก็ได้ แต่ แต่ แต่ ลูกหนี้มั่นใจว่าไม่มีหนี้อื่นเหลืออยู่ เพราะถ้ามีก็ต้องนำเงินส่วนเกินไปชำระหนี้ แต่ถ้ายังขาด ปกติธนาคารจะเขียนในสัญญาว่า ถ้าบังคดีแล้วเงินขาด ลูกหนี้ก็ยังต้องชำระจนกว่าจะครบ แม้ว่ามาตรา 733 วางหลักไว้ว่าลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนนั้น เมื่อสัญญาจำนองระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนแต่ มาตรานี้ ธนาคารมักมีข้อตกลงยกเว้นไว้ว่า แม้บังคับจำนอง เงินยังไม่พอชำระหนี้ ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิด เพราะข้อตกลงยกเว้นดังกล่าว ไม่ขัดความสงบเรียบร้อย ตามคำพิพากษาฎีกาเลขที่ 1313/2480---ขอจบภาค (1)--- ไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวมีต่อ เพราะไม่อยากให้อ่านแล้ว งง // แยกย้ายท้ายนี้ขอบพระคุณ : ปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3 / รูปที่ 4