บทความนี้เหมาะแก่ผู้ที่เคยและไม่เคยประสบกับโรคหลอดเลือดสมอง อโรคยา ปรมาลาภา (Cr: byfalco from https://bit.ly/3aR2I44) อย่างที่เราทราบว่า "อโรคยา ปรมาลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นับเป็นประโยคคลาสสิคที่ผมยืนยันว่า "จริง" ผู้อ่านไม่ต้องลองเองนะครับ ถือว่าผมทดลองให้แล้วและยืนยันด้วยเกียรติของลูกเสือ หลอดเลือดสมอง (Cr: by freepik from https://bit.ly/2UOYWmi) ตามที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจว่าโรคบางโรค เช่น คุณสุกคนใส www.pobpad.com/ถาม/หัวข้อ/โรคอีสุกอีใส-2 เมื่อเป็นแล้วผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกัน เพื่อสร้างโอกาสที่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ต่ำ แต่ก็ไม่หลักฐานยืนยันว่าเมื่อเป็นแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีก แต่บางโรค อาทิ โรค"หลอดเลือสมอง" ไม่มีผลวิจัยยืนยันว่าเมื่อผู้ป่วยเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น หรือ ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคนี้จะไม่มีโอกาสเป็น แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่เคยป่วยมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ค่อนข้างสูง เพราะ เหตุผลหลัก ๆ คือ ผู้ป่วยหลายท่านจะคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันเดิม ๆ (ก่อนป่วย) ที่(ค่อนข้างเสี่ยง)ก่อให้เกิดโรค เช่น เครียด พักผ่อนน้อย ทำงานหนัก ไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอร์เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้ล้วนสร้างโอกาสให้แก่ทั้งผู้ (เคย)ป่วยและผู้ที่ไม่ป่วยมีโอกาสจะประสบปัญหาโรคหลอดเลือดสมอง (อีกครั้ง - กรณีผู้(เคย)ป่วย) ในกรณีการป่วยซ้ำนั้น ผู้ป่วยต้องไม่ลืมว่า สมองส่วนที่เสียไปแล้วจะเสียไปเลย เท่ากับว่าการเป็นซ้ำจะสร้างความเสียหายขยายเป็นวงกว้างไปอีก และไม่มีหลักประกันใดว่าผู้ป่วยซ้ำจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดังนั้น พึงตระหนักว่า "การกลับไปใช้วิถีชีวิตแบบเดิม ๆ ที่ไม่ถูกต้อง" เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดว่า จะปฏิวัติวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ลดความตรึงของการใช้ชีวิตลงบ้าง หรือเดินสายกลาง (เถอะ) ยอมรับความทุกข์ (ว่ามันจะอยู่กับเราไม่นาน) และเตือนตัวเองว่า ความสุขมักอยู่กับเราไม่นานเช่นกัน ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง (สาธุ) ส่วนใครก็ตามที่ไม่เคยประสบปัญหาดังกล่าว จง พักผ่อน(Cr: by freepik from https://bit.ly/3e72F66) 1. พักผ่อนให้เพียงพอ: สมองเราเปรียบเสมือนเครื่องจักร เมื่อทำงานหนัก ย่อมร้อน โดยปกติถ้าเครื่องจักรทำงานหนัก(เกิน)ไปมันจะร้อนมาก เมื่อเราสาดน้ำไปที่เครื่องจักร (ดับร้อน) คาดหมายได้ว่ามันจะพังทันที! สมองเราก็เช่นกัน ถ้าปล่อยให้ทำงานหนักไป หนักเข้าก็จะตู้มกลายเป็นโกโก้ครั้นช์ ถนอมมันหน่อย ให้อยู่กับตัวเราไปนาน ๆ เพราะถ้าปล่อยให้สมองเราตาย ชีวิตก็ตายตามสมองนะครับ รับประทานอาหารมีประโยชน์ (Cr: by freepik fromhttps://bit.ly/3bZOZbl) 2. นอกจากการพักผ่อน เราต้องให้อาหารบำรุงสมอง: หลายท่านนึกถึงอาหารเสริม แต่ขอย้ำนะครับว่า "อาหารเสริมไม่ใช่ยา" ไม่ได้หมายความว่า ทานอารหารเสริมแล้วคุณมีสิทธิโดยชอบธรรมในการทำงานหนัก ผิดนะครับ เมื่อทานอาหารเสริม แล้วอย่าลืมกลับไปทำข้อ 1. สุขภาพ & เงิน (Cr: geralt from https://bit.ly/2wrX0XA) 3. หลายท่านมองว่าต้องทำงานหาเงิน ใช่ครับ เรามีหน้าที่ทำงานหนักเพื่อ "หารายได้" แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า ให้รวยแค่ไหน ก็ไม่สามารถจ้างใครมาป่วยแทนเราได้ ... ทว่า หากร่างกายแข็งแรง การก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงตามเป้าหมายเดิมจะเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิมย่อมมีสูงมาก อนึ่ง บางท่านอาจจะเถียงว่าก็ลงทุนแบบ Passive incomes - ปล่อยให้เงินทำงานไปเรื่อย ๆ ผมถามสั้น ๆ ว่า "คุณไม่ใช้สมองหรือครับในการบริหารความเสี่ยง (เงิน)?" ข้ออ้างลดแคลลอรี่ไม่ได้ (Cr: by freepik from https://bit.ly/2JKEAEm) 4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เลิกอ้างว่า "ไม่มีเวลา" นั่นมันข้อแก้ตัว ไม่ใช่เหตุผล เพราะบางคนเขาก็ทำได้ แต่เรากลับทำไม่ได้เพราะ "เราอาจบริหารจัดการเวลาไม่ดีพอต่างหาก" ดังนั้น จัดตารางชีวิตให้ตัวเองใหม่โดยการเพิ่มตารางออกกำลังเข้าไปทุกวัน เพราะร่างกายคนเรามีแต่จะเสื่อมลง การออกกำลังน่าจะถือเป็นการชะลอความเสื่อมของร่างกายของเราลงไปได้มากและต้นทุนต่ำกว่าการหาคุณหมอหรือซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครียดบอกว่าเครียด (Cr: by PoseMuse from https://bit.ly/2Xn0pBV) 5. ยอมรับว่าเครียดเมื่อเครียดไม่ใช่หลอกตัวเองว่าไม่เครียด ยกตัวอย่างผู้เขียนเองจะมี ความเชื่อเดิมว่า "ทุกปัญหาย่อมมีทางออก(เสมอ) ต้องแก้ด้วยมือตัวเอง(เท่านั้น!)" ครั้นเมื่อตัวเองผ่านบททดสอบหนัก ๆ ได้สำเร็จ ตัวผมเองจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงว่ามันจะต้องผ่านไปด้วยมือตัวเองเพียงกรณีเดียว ส่งผลให้บางสถานการณ์ผมมักบอกกับตัวเองว่าไม่เครียด แต่จริง ๆ คือเครียด เดิมผมมักบอกกับคนอื่นว่าตัวเองเป็นคนมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเครียด ฉะนั้น Q:ในสถานการณ์เช่นนี้เราสามารถพิเคราะห์สภาวะความเครียดจากอะไร A:"ร่างกายครับ" เขาจะบอกเราเองว่าเขาไหวหรือไม่ เช่น ง่วง ล้า -> ไปนอนครับ ไม่ใช่หาเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อมาทำงานต่อ ... หรือฟังเสียงเตือนจากคนใกล้ตัวท่าน สั้น ๆ คือ "จงฟังเสียงร่างกายตัวเอง" สวดมนต์ & นั่งสมาธิ (Cr: brenkee from https://bit.ly/34lLWYD) 6. สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อฝึกจิตให้ตามความคิด และให้เตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่า กำลังทำอะไรอยู่ เช่น คิดวนไปวนมา เครียด เมื่อรู้ตัวว่าคิดวน และ/หรือเครียด ให้บอกกับตัวเองว่า หยุดคิดพร้อมบอกตัวเองว่า "ไปหาอะไรทำ (แทนการนั่งคิดวนดีกว่า) ส่วนตัวผม จะไปออกกำลังกายทันที ยกตัวอย่าง เมื่อผมเครียด - สมัยผมเรียน ป.โทที่สหรัฐอเมริกา นอกจากการทานกล้วยหอม ก็เห็นจะมีแต่ ยิม/ฟิตเนส ที่ช่วยลดความเครียด ไม่ใช่กาแฟ หรืออาหารใด ๆ หลายท่านมองว่า หมูกะทะจะเยี่ยวยาทุกอย่าง ส่วนตัวผมว่ามันเป็นการเยียวยาชั่วคราว ท้ายที่สุด ปัญหาเหล่านั้นจะกลับมาหาคุณอีกครั้งเมื่อหมูกะทะหมด เวลาจะเยี่ยวยาทุกอย่าง (Cr: by geralt from https://bit.ly/2USBNzf ) 7.บางปัญหาต้องอาศัยเวลาให้มันบรรเทาเบาบางลง ในขณะเดียวกันปัญหาบางครั้ง ขอแค่คนรับฟังไม่ใช่หาทางออกให้ ดังนั้นอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เพราะมันจะกลับไปข้อ 1. อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ ย้ำกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่า "ธรรมชาติจะไม่ใจร้ายเกินไป" อย่างน้อยธรรมชาติจะให้สิ่งวิเศษที่เรียกว่า "เวลา" ตราบใดที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตก ทุกปัญหาย่อมคลี่คลายลง เมื่อเวลาผ่านไป ขอแค่รอ ... ยิ่งไปเคร่งเครียดและมุ่งมั่นมากเกินไป โปรดกลับดูข้อ 5. อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงขอย้ำอีกครั้งว่า "ความเครียด" เป็นต้นเหตุของหลาย ๆ โรค โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง อย่าเสี่ยงนะครับ โรคนี้มันทรมานหลังฟื้นครับ ทรมานจริง ๆ แม้ ร่องรอยของโรคนี้อาจต้องแลกด้วยชีวิต หรือไม่ก็ความพิการ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยหรือไม่? ความเครียด=เสี่ยง ดังนั้นอย่าเสี่ยงผมเตือน" ด้วยรักและหวังดี ผมฝากรูปตัวผมเองเพื่อเตือนผู้อ่านว่า ถ้าเครียด ถ้าไม่เครียด ถ้าไม่อยากเสี่ยง (เป็นซ้ำ) โรคหลอดเลือดสอง อย่างน้อย อย่าเครียด! Trust me coz I am not only a lawyer but also a stroke survivor. ขอบพระคุณภาพปก by TheDigitalArtist from https://bit.ly/2Xy1NBF