ท่ามกลางอากาศร้อนจัดในเดือนเมษายน การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวดูจะเป็นทางเลือกของใครหลายๆ คน สำหรับฉันที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว จะใช้ยานพาหนะตามความสะดวกของแต่ละทริป ในทริปนี้ฉันเลือกใช้รถไฟ เดินทางจากนครสวรรค์ ไปสิ้นสุดที่สถานทีอยุธยา แล้วเช่ารถจักรยานยนต์ ๑ วัน ในราคา ๓๐๐ บาท เพื่อเดินทางไปยังวัดเชิงท่า จุดหมายตั้งใจไว้ ซึ่งไม่ได้ยากอะไรนัก เพราะถนนหนทางสะดวกกว่าในสมัยโบราณเป็นอันมาก ซึ่งถ้าย้อนถึงสมัยที่ยังไม่มีถนนเหมือนเช่นทุกวันนี้ ฉันคงต้องลงเรือเพื่อไปลงที่ท่าเรือ ที่อยู่บริเวณด้านหน้าวิหารในปัจจุบันของ วัดเชิงท่า สำหรับวัดเชิงท่านั้น มีอยู่หลายจังหวัด เช่น ลพบุรี นนทบุรี(พุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์) นครสวรรค์(เปลี่ยนเป็นวัดพรหมจริยวาส) และที่อยุธยาก็มีถึงสองที่ด้วยกัน คือที่ อ.พระนครศรีอยุธยา และ อ.บางปะอิน ซึ่งในสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์ จะมีการใช้เกวียนเดินทาง แต่การสัญจรทางเรือ เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายที่สุด และท่าน้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือท่าน้ำที่อยู่ร่วมกับวัด เนื่องด้วยในสมัยอดีต วัดคือศูนย์รวมของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหาความรู้ การฝึกฝนตัวเอง การบวชเรียน และการสืบทอดพระพุทธศาสนา ดังนั้นประชาชนพลเมืองจึงใช้วัดเป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง รวมถึงการเดินทาง ทำไมชื่อวัดเชิงท่าจึงมีอยู่หลายจังหวัด? นั่นเป็นเพราะว่าในสมัยก่อน การตั้งชื่อวัดจะตั้งชื่อกันตามสถานที่ วัดที่อยู่ในที่ดอนก็มักจะขึ้นต้นว่าโคกหรือดอน ส่วนวัดที่อยู่ริมน้ำก็มักจะเรียกกันตามภาษาปากว่าวัดตีนท่าบ้าง วัดเชิงท่าบ้าง จนเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป หลายวัดที่เราเรียกตามสถานที่ก็จะเปลี่ยนไปตามภาษาของทางราชการ แต่หลายวัดก็ยังใช้ชื่อเดิมที่ชาวบ้านคุ้นเคย ฉันเขียนเรื่อง “ชุมทางที่วัดเชิงท่า” นี้ หมายถึงวัดเชิงท่า ในตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา ซึ่งยังเป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาตลอดมา วัดแห่งนี้มีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น “วัดตีนท่า” “วัดคอยท่า” “วัดโกษาวาสน์” “วัดคลัง” “วัดติณ” ซึ่งการเรียกชื่อนั้นก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ส่วนการที่ฉันเดินทางมาที่วัดเชิงท่า ด้วยจุดประสงค์ของการเดินทางมาดูซากโบราณสถานที่เหลืออยู่ ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งฉันมองว่านี่คือชุมทางของการเดินทางในสมัยนั้น นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นชุมทางของการเกิดเรื่องราวต่างๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ อันเป็นที่มาของชื่อวัด นอกเหนือไปจากวัด “เชิงท่า” กล่าวคือ ในสมัยสมเด็นพระนารายณ์ เจ้าพระยาโกษา (ปาน) ถ้าใครจำได้ก็คือ เอกอัครราชทูตที่เดินทางไปเจริญสมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส และท่านเคยมีตำแหน่งเป็นพระคลัง ท่านได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้ จึงเรียกวัดเชิงท่าว่า “วัดโกษาวาสน์” หรือ “วัดพระคลัง” (กรณีชื่อวัดโกษาวาสน์และวัดพระคลังนี้ ชื่อของวัดจะซ้ำซ้อนอยู่กับวัดสุมณโกฏฐาราม ซึ่งมีเอกสารเรียกว่าวัดพระคลังเช่นกัน) ต่อมา ในสมัยพระเพทราชาไปถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ วัดนี้ใช้ที่เก็บรวบรวมหญ้าก่อนจะส่งไปเลี้ยงสัตว์ เช่น ม้าและช้างในวัง จึงเป็นที่มาของชื่อ “วัดติณ” และในช่วงเวลาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนี้ นายสิน (พระเจ้าตากสิน) และนายทองด้วง (พระยาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ก็เคยบวชที่วัดเชิงท่านี้มาก่อน ทันทีที่ฉันจอดรถจักรยานยนต์ เจดีย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีการได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาหลายยุคก็ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แม้ว่าจะมีการบูรณะไปเมื่อไม่นาน แต่ก็ยังมีสภาพทรุดโทรม อาคารหลายหลังถูกขุดเจาะทำลายเพื่อหาโบราณวัตถุ โบสถ์ วิหาร เจดีย์ การเสื่อมสภาพตามกาลเวลา แม้ว่าไม่มีการสัญจรทางน้ำแล้ว แต่ชื่อวัดเชิงท่าก็ยังคงติดหูมากกว่าวัดโกษาวาสน์ หรือในชื่ออื่นๆ ซากโบราณสถานที่วัดนี้ จึงเป็นลักษณะผสมผสานของศิลปะต่างยุคกัน อันเป็นเสน่ห์เฉพาะของวัดนี้ที่ควรแค่แก่การเดินทางมาเยี่ยมชม นอกจากนี้ในส่วนสังฆวาสและพุทธาวาสของวัดที่ได้รับการบูรณะพัฒนาต่อเนื่องกันมานั้นก็ยังปฏิบัติศาสนกิจไปตามยุคสมัย ทำให้วัดนี้มีประชาชนมาทำบุญและท่องเที่ยวโบราณสถานไปพร้อมๆ กัน อย่างไม่ขาดสาย ^_^