เมื่อเราตัดสินใจปลูกบ้าน ซื้อบ้านหรือที่พักอาศัยสักหลัง ปัจจัยสำคัญที่เราควรคำนึงนอกจากเรื่องทำเล ความแข็งแรงของโครงสร้าง การออกแบบทั้งภายนอกและภายในแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าของบ้านต้องหาวิธีป้องกันและแก้ไขก่อนเข้าไปพักอาศัย นั่นคือปัญหาปลวกกินบ้าน โชคดีที่สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไกล ทำให้มีนวัตกรรมกำจัดปลวกหลายวิธี สังเกตว่าโรงงานผลิตวัสดุสร้างบ้าน ต่างก็โฆษณาว่าวัสดุต่าง ๆ โดยเฉพาะวัสดุที่ทำจากไม้ จะเคลือบสารเคมีเพื่อป้องกันปลวกกัดแทะมาแล้วตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต หรือช่างก่อสร้างเองก็มีวิธีการปรับปรุงพื้นที่ หาวิธีป้องกันไม่ให้ปลวกเข้าใกล้อาคารที่พักอาศัยได้ ถือเป็นผลดีจากนวัตกรรมการป้องกันและกำจัดปลวกที่ทันสมัย แต่วันนี้จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปยังสมัยกรุงศรีอยุธยา ไปสำรวจหลักฐานจากปลายปากกาที่บันทึกโดยชาวต่างชาติ ฝรั่งเรียกปลวกว่า ตัวบัค และว่ากันว่ามันถือเป็นอสูรกายจอมทำลายล้างที่ทำให้คนกรุงศรีฯ ทั้งไทยและเทศต่างเข็ดขยาดไปตาม ๆ กันจดหมายเหตุฉบับลา ลูแบร์ (Du Royaume de Siam) พงศาวดารฉบับสำคัญที่หลายคนรู้จัก นอกจากจะบรรยายสภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ยังมีการกล่าวถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจไว้อีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่อง ตัวบัค ที่หมายถึงปลวก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจอมทำลายตัวฉกาจแห่งกรุงศรีฯ เรียกว่าทำลายตั้งแต่เสาเรือน คานหลังคา และโดยเฉพาะการกัดแทะทำลายสมุดหนังสือของพวกมิชชันนารี ทำเอาต้องหาวิธีป้องกันและกำจัดให้อยู่หมัด แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายในบ้านเมืองที่ปลวกชุมอย่างกรุงศรีอยุธยาอย่างที่เรารู้กันดี สมัยกรุงศรีอยุธยามีบรรดามิชชันนารีที่มาจากตะวันตก ตั้งใจนำศาสนาคริสต์มาเผยแผ่ให้กับชาวกรุงศรีฯ นอกจากนั้นยังได้นำความเจริญด้านการศึกษา ศิลปวิทยาทางการแพทย์ และความรู้เหล่านั้นก็บรรจุอยู่ในสมุดหนังสือที่เหล่ามิชชันนารีได้นำมาด้วย โดยไม่รู้มาก่อนว่ากรุงศรีอยุธยามีปลวกชุกชุมไม่แพ้ปลาที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำ กว่าจะรู้ตัวสมุดหนังสือก็ถูกปลวกกินไปหลายต่อหลายเล่ม ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ เรียกปลวกว่า ตัวบัค และบันทึกไว้ในทำนองที่ว่า ปลวกในกรุงสยามเป็นอสูรกายที่ล้างผลาญทุกอย่างให้ฉิบหาย นอกจากจะกัดแทะฝาเรือนแล้ว ยังจะกัดแทะสมุดหนังสือให้ทะลุเป็นร่องเป็นรูไม่แพ้กับตัวสามง่าม ต่างกันตรงที่ตัวสามง่ามจะกินเฉพาะกระดาษสมุด แต่ปลวกนั้นกินทุกอย่างที่ขวางหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาต่อมาบรรดามิชชันนารีจึงต้องหาวิธีป้องกันสมุดหนังสือไม่ให้ปลวกกินนั่นเองวิธีที่ว่าก็ไม่ใช่วิธียากเย็นอะไร เป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดและใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ นั้นคือการนำสมุดหนังสือไปเคลือบด้วยยางไม้ โดยเฉพาะยางรัก ซึ่งได้จากการกรีดบริเวณลำต้นของต้นรักหลวง มีทั้งยางรักสีดำและสีแดง เพราะยางรักมีสรรพคุณป้องกันปลวกได้ดี ในตะวันตกจะใช้ยางรักเคลือบภาพวาด เหล่ามิชชันนารีจึงนำยางรักมาทาปกและสันหนังสือเอาไว้ และยังบันทุกเอาไว้อีกว่า ยางรักมีสรรพคุณป้องกันปลวกได้อยู่หมัด และยังมีการทดลองนำยางรักไปเคลือบไว้กับขาเตียงนอน และเครื่องไม้เครื่องมือชนิดอื่นได้อีกด้วยนอกจากใช้ป้องกันปลวกได้แล้ว คนโบราณยังใช้ยางรักเป็นกาวเพื่อเชื่อมวัสดุให้ติดกัน ทั้งกระดูกสัตว์ เปลือกไข่ อย่างชาวกะเหรี่ยงจะใช้ยางรักทำขวดจักสาน ด้วยยางรักสามารถอุดปิดรอยรั่วทำให้ขวดนี้สามารถบรรจุของเหลวได้ ส่วนปัจจุบันยางรักเป็นวัสดุสำคัญสำหรับงานศิลปะหลายประเภทของไทย โดยเฉพาะศิลปกรรมตามวัดวาอาราม จนถึงหัตถกรรมของชาวบ้าน อย่างทางภาคเหนือจะใช้ยางรักในการทำเครื่องเขิน บางแห่งใช้ยางรักเช็ดถูพระพุทธรูปก่อนปิดทองคำเปลว ทั้งหมดที่ได้เล่ามาจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า ยางรักเป็นอาวุธสำคัญในการกำจัดปลวก และยังถือเป็นภูมิปัญญาล้ำค่าที่ตกทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอีกด้วยรูปภาพหน้าปก โดย Royburi : Pixabayภาพประกอบที่ 1 โดย Dragana Gordic : Freepikภาพประกอบที่ 2 โดย Royburi : Pixabayภาพประกอบที่ 3 โดย 8499117 : Pixabayข้อมูลอ้างอิง : หนังสือ “จดหมายเหตุลาลูแบร์ เล่ม 1” พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์