ขอขอบคุณรูปภาพหน้าปก จาก pixabay https://pixabay.com/images/id-1149220/ วิ่งวันละนิด จิตแจ่มใส สวัสดีจ้า กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความกีฬา นี่เป็นฉบับที่ 12 แล้ว ครบ 1 โหล พอดีเลยจ้า ใครที่ติดตามมาตั้งแต่บทความแรกบ้างเอ่ย ยกมือขึ้น โอ้โห เยอะมากเลย 555 วันนี้เราจะพาท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านมากร่วมเดินทางไปกับเรา กับทริปนี้เลย การวิ่งฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร ครั้งแรกในชีวิตจ้า ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อ เดือน ธันวาคม ปีที่แล้วจ้า เป็นงานวิ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเราได้เข้าร่วมวิ่งไปกับเขาด้วย จ่ายค่าสมัครไปเรียบร้อย 1,400 บาท เพราะวิ่ง 2 คน กับน้อง (คนละ 700 บาท) เหตุการณ์ตอนนั้น นึกสนุกเห็นคนอื่นวิ่งได้ เลยคิดว่าเราคงทำได้ 555 แต่ เหตุการณ์กลับไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซิ เพราะเราไม่เคยซ้อมวิ่งที่ไหนเลยมาก่อน ไม่ใช่นักกีฬา และเพิ่งสมัครรายการแรก ก็ประเดิมที่ 21.1 กม. คือ ไม่เหมือนท่านอื่นๆ ที่เขาจะเริ่มที่ ฟันรัน 3.5 - 5 กม. แล้ว ไป มินิ มาราธอน 10 - 10.5 กม. แล้วค่อยไป ฮาล์ฟมาราธอน 21 - 21.1 กม. ไปจบสุดท้ายที่ มาราธอน 42.195 กม. แล้วค่อยไประดับโลก เช่น ญี่ปุ่น เบอร์ลิน ลอนดอน และอื่นๆ ส่วนเราขอข้ามกระโดดไปฮาล์ฟ เลย 555 ไม่เหมือนใครดี มาดูกันว่าจะเป็นอย่างไรจ้า หลังจากตัดสินใจไปแล้ว จะไม่ไป ก็เหมือนยอมแพ้ ดังนั้นจึงเหลือทางเดียว คือ ซ้อม และ ซ้อม เราซ้อมวิ่งแบบจริงจังมาก เรียกว่า แบบเอาเป็นเอาตายเลย คือวิ่งแทบจะทุกวัน เช้า ตี 5 หรือตอนเย็น 6 โมงเย็น ใช้เวลาซ้อมประมาณ 4 เดือน เหตุผลคือ กลัวจะวิ่งไม่จบ ไม่ถึงเส้นชัย เป็นลมสักก่อน เราไปฝึกซ้อมวิ่งตามที่ต่างๆ และบันทึกผลในแอปมือถือไว้ด้วย ขอเริ่มที่แต่ละเดือนดังนี้จ้า เครดิต รูปภาพโดย โพธิ์ >> เดือนแรก ถือฤกษ์ดี วันที่ 12 ส.ค. 2561 คือตั้งใจจะวิ่งเพื่อแม่ ล่ะกัน เป็นการวิ่งวันแรก วันนี้ วิ่งไปได้ แค่ 1 - 2 ก.ม. เกิดอาการทันที ทั้งคลื่นไส้ โลกหมุน จุกแน่นท้อง เพราะดื่มน้ำ และขนมมาเยอะ ต้องกลับไปบ้านแบบหมดสภาพ ทั้งที่ในใจคิดว่าจะวิ่งสัก 5 ก.ม. เหมือนฟันรัน แต่ร่างกายกลับไม่ไหว จึงขอตัวไป วันแรก แต่เรายังไม่ยอมแพ้ เครดิต รูปภาพโดย โพธิ์ วันต่อมาเราเริ่มรู้จักสภาพร่างกายว่า หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น เมื่อไรจะหยุด เดิน ไม่วิ่งเร็วเกินไป เรียกว่าค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ผ่านมา 1 สัปดาห์ หัวใจเริ่มชิน เต้นสม่ำเสมอไม่เหนื่อยง่าย แต่กลับมีบางสิ่ง ผิดปกติ เจ็บข้อเท้ามาก เนื่องจากเคลื่อนไหวกระแทกลงข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง ซ้าย-ขวา เราจึงตัดสินใจไปซื้อรองเท้าวิ่ง มาใส่ดีกว่าคู่ละ 1,400 สั่งจากในเน็ต ขนาดพอดีกับเท้า และกระชับข้อเท้าด้วย วิ่งแล้วไม่เจ็บเลย ชอบมากจ้า เดือนนี้ได้ประมาณ 7 ก.ม. >> เดือนที่สอง เข้าสู่เดือน กันยายน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พัฒนาการดีขึ้น วิ่งไม่หอบ ไม่เหนื่อยง่าย ความเร็ว อยู่ที่ เพซ 8 คือระยะทาง 1 กิโลเมตร ใช้เวลา 8 นาที ซึ่งค่อนข้างช้า แต่มีคนบอกค่อยๆ ปรับความเร็วไป รับรองถ้าเพซ 7 จะจบทัน cut off ที่ 3 ชั่วโมงแน่นอน ค่อยมีแรงขึ้นอีกสักนิด แต่ปัญหายังมีอีกนี่ซิ เข่า นั่นเอง น่าจะเกิดจากการวิ่งลงส้นเท้า และกระแทกแรงเกินไป ทั้งเข่าซ้าย-ขวา ปวดมาก ต้องหยุดวิ่ง หรือเดินแทนบางครั้ง เดือนนี้ยังได้แค่ 10 ก.ม. เท่านั้น เพราะมีฝนตกบางวัน เลยหยุดซ้อมอีก >> เดือนที่สาม เดือนตุลาคม แล้ว ยังไม่ถึงไหนเลย เพราะปัญหามากมาย มารุมเร้า งานก็เยอะด้วย เวลาก็ไม่ค่อยจะมีด้วย แต่ต้องเจียดเวลาไปซ้อม เหนื่อยแทบทุกวันเลย ต้องสู้ เดือนนี้เราเพิ่มการยืดเหยียด กล้ามเนื้อ ทั้งก่อน-หลังวิ่ง และวอร์มอัพ คูลดาวน์ ทุกครั้ง ดดยศึกษาจากในยูทูป ดีมาก ทำให้เราเหมือนจะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง 555 เดือนนี้ได้ประมาณ 15 ก.ม. >> เดือนสุดท้าย เดือนพฤศจิกายน เดือนนี้ต้องทำให้ได้ เพราะ เดือนหน้าเขาจะวิ่งกันแล้ว ที่ จ. พระนครศรีอยุธยา งานนี้คนมาวิ่งกันทั่วประเทศ เพราะเป็นงานวิ่งระดับจังหวัด ใหญ่โตมาก จะยอมแพ้ไม่ได้ เราเลยต้องฟิตซ้อมอีกเยอะเลย สุดท้ายได้ 21 ก.ม. แต่ใช้เวลาไปเยอะมาก 2 ชม. 40 นาที แค่ครั้งเดียว กลับไปหมดแรง หลับสบาย ปวดน่อง ขา ขึ้น-ลงบันไดก็ลำบากมากเลยจ้า วันงาน เดือนธันวาคม 2561 วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตี 4 เพราะเขาจะวิ่งกันตอน ตี 5 ครึ่ง มากับน้อง 2 คน วันนี้เราตั้งใจจะวิ่งให้ทัน อย่าให้ cut off พอ จึงรีบมาวอร์มอัพ เต้นแอร์โรบิค ยืดเส้นยืดสาย แล้วไปเตรียมพร้อมวิ่งกันเลย คนเยอะมาก เรานั่งรถตุ๊กๆ มา เพราะกลัวไม่มีที่จอดรถ เรากินเจลโปรตีน ก่อนเพื่อกันหิว และให้พลังงานก่อนวิ่ง ทำสมาธิ และไปที่จุดสตาร์ท เครดิต รูปภาพโดย pixabay : https://pixabay.com/images/id-698417/ นักกีฬา เข้าที่... ระวัง...ปัง....เสียงปืนดังขึ้น ทุกคนวิ่งไปช้าๆ เพราะคิวยาวมาก เราค่อยๆตามไปทีหลัง อยู่กลุ่มท้ายๆ เพราะแถวหน้าเขาระดับนักวิ่งอาชีพกัน เช้านี้อากาศดี ไม่ร้อนมาก พอผ่านไป 10 ก.ม. แดดเริ่มออก อาการหน้ามืด จุกท้องเริ่มมาอีก เพราะกินน้ำ ไปเยอะกลัวหิวน้ำ เลยต้องวิ่งเหยาะๆ แต่ไม่หยุดเดิน ไปเรื่อยๆ เข้า ก.ม. ที่ 15 ต้องขึ้นสะพาน นี่คือขาแทบไม่มีแรงก้าว เพราะสปีดเร็วช่วงปล่อยตัวไปเยอะ ลงสะพาน นี่ปล่อยตามสภาพ เลย ฝืนวิ่งไปที่จุดพักน้ำ ทุกๆ 2 ก.ม.เติมพลัง แล้ววิ่งต่อ ค่อยยังชั่ววิ่งตามเพซเซอร์ คนที่ถือลูกโป่ง ไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงเคารพธงชาติ 08.00 น. จึงหยุดวิ่ง ยืนตรง จบเพลงแล้วเราจึงวิ่งต่อไปอีกสักพัก เห็นช่างภาพ เส้นชัย น้ำพุ กองเชียร์ นี่คงใกล้จะถึงเส้นชัยแล้วซินะ มองดูน้องเรา ยังไม่มา เราเลยเข้าเส้นชัย รับเหรียญไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ไชโย ดีใจมากจ้า เหมือนความทุ่มเท จากด้านบน ทั้ง 4 เดือนไม่สูญเปล่า แต่มันคือ สำเร็จแล้ว อยากตะโกนดังๆ แต่ หมดแรงสักก่อนจ้า เครดิต รูปภาพโดย pixabay : https://pixabay.com/images/id-78192/ และ https://pixabay.com/images/id-888021/ พอวิ่งเสร็จ ก็ไปที่เต็นท์ รับสลิปการวิ่ง และไปรับอาหาร กลับบ้านได้ น้องสาวเพิ่งวิ่งตามมาทีหลัง เราเลยพาไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือ อยุธยา ถ่ายรูปเหรียญ ที่ได้กันมาตามรูปข้างล่างจ้า เครดิตรูปภาพ โดย โพธิ์ ต่อจากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน วันนี้เสร็จภารกิจ แต่เพียงเท่านี้ แล้วมาพบกันใหม่ จากกันด้วยแรงบันดาลใจจากคนที่ไม่เคยวิ่งรายการใดมาก่อน คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านย่อมทำได้เช่นกัน ขอเพียงฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และขอขอบคุณบุคคลที่วิ่งมาราธอนเร็วที่สุดในโลก คุณคิปโชเก้ นักวิ่งชาวเคนย่า ขวัญใจเราเอง ที่เคยสัมภาษณ์ว่า "ไม่มีอะไรเกินขีดความสามารถ และความพยายามของมนุษย์" สวัสดีจ้า.