บ้านกลางขุย หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “บ้านขุย” ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลหนองไม้ซุง อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เดิมชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า “หนองกระทุ่ม” เพราะมีหนองน้ำขนาดใหญ่ที่มีต้นกระทุ่มขึ้นอยู่หนาแน่น บริเวณโดยรอบเป็นป่าไผ่แน่นทึบ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ราวปี พ.ศ. 2400-2405 ชาวลาวเวียงกลุ่มหนึ่งนำโดย “นายเอ้บ” ได้อพยพย้ายถิ่นฐานจากจังหวัดสระบุรี เข้ามาจับจองพื้นที่บริเวณหนองกระทุ่ม ด้วยเห็นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม เนื่องจากมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ และช่วยกันหักร้างถางพง ถากถางป่าเป็นที่อยู่อาศัยและทำกิน โดยชาวลาวเวียงเหล่านี้ เป็นชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว มาอยู่ที่จังหวัดสระบุรี เมื่อคราวเกิดศึกเจ้าอนุวงศ์ ในปี 2373 สมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมานายเอ้บ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้บวชเป็นพระภิกษุ และสร้างวัดขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2434 บริเวณกลางป่าไผ่ซึ่งเป็นที่ดินของตนเอง โดยตั้งชื่อว่า “วัดกลางขุย” ตามลักษณะของต้นไผ่ที่ออกดอกยืนต้นตาย ที่เรียกว่า “ไผ่ตายขุย” หลังจากสร้างวัดกลางขุยแล้ว ชาวบ้านก็นิยมเรียกหมู่บ้านรอบวัดว่า “บ้านกลางขุย” ตามชื่อของวัด ทำให้ชื่อ“หนองกระทุ่ม” ที่เคยเรียกขานกันมาแต่เดิมค่อยๆ เลือนหายไป ประกอบกับหนองน้ำที่มีมาแต่เดิมก็ตื้นเขิน จนไม่เหลือสภาพเป็นหนองน้ำเหมือนในอดีต ชื่อ“หนองกระทุ่ม” จึงถูกแทนที่ด้วย“บ้านกลางขุย” นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวชุมชนบ้านกลางขุย มีความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งอาศัยในเวียงจันทน์ และถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งความเชื่อ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และความเชื่อในเรื่องของอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือความเชื่อในเรื่องของผีบรรพบุรุษ ที่เรียกกันว่า“ปู่ตา” ซึ่งเป็นวิญญาณของคนเฒ่าคนแก่ที่ตายไปแล้ว โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้คนมีความมั่นคงทางจิตใจและสร้างความเชื่อมั่นในชีวิต ว่ามีผู้คุ้มครองหมู่บ้าน ทำให้มีความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตประจำวัน จึงมีการสร้างศาลปู่ตาในหมู่บ้าน ตั้งชื่อว่า“ศาลเจ้าพ่อบุญชู เจ้าแม่สีชมพู”ขึ้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ทุกปีในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 จะมีพิธีเลี้ยงเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ที่ศาลนี้ โดยชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานมาเซ่นไหว้ พร้อมปั้นดินเหนียวเป็นรูปคนเท่าจำนวนคนในบ้าน (ปัจจุบันใช้กาบกล้วยมาตัดแต่งเป็นรูปคนแทนการปั้นดิน) และขอพรให้เจ้าพ่อเจ้าแม่คุ้มครอง ซึ่งเชื่อกันว่าใครที่ขอพรแล้วมักประสบผลตามคำพรที่ขอนั้นทุกคน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวชุมชนบ้านกลางขุยมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ได้ร่วมกันรักษาและสืบทอดประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำบุญตักบาตร การกวนข้าวมธุปยาส การเทศน์มหาชาติ การสรงน้ำพระ การเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น โดยมีวัดกลางขุยเป็นศูนย์กลางของชุมชน วัดกลางขุย มี “หลวงพ่อต่อ” เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ ศิลปะต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เคยถูกโจรกรรมถึง 2 ครั้ง แต่คนร้ายก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ ออกจากบริเวณวัดได้ ชาวบ้านจึงเลื่อมใสศรัทธา มากราบไหว้ขอพร ให้ช่วยต่อโชค ต่อลาภ ต่อความเป็นสิริมงคลมิได้ขาด รวมทั้งขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ชาวชุมชนบ้านกลางขุย ทำนาเป็นอาชีพหลัก และเพาะเห็ด เช่น เห็ดฟาง เห็ดขอน เห็นภูฐาน เป็นอาชีพเสริม โดยเฉพาะเห็ดฟาง เป็นแหล่งผลิตแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของภาคกลาง มีโรงเรือนเพาะมากกว่า 100 โรง กระจายอยู่ทั่วหมู่บ้าน สร้างรายได้ให้ชาวบ้านเป็นกอบเป็นกำ นอกจากเห็ด จะเป็นผลิตภัณฑ์เด่นของชุมชนแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เด่นอีกหลายอย่าง เช่น น้ำพริกเห็ด ชุดไทยเด็ก ข้าวไรซ์เบอร์รี่ พืชผลทางการเกษตร และสินค้าแปรรูป ปัจจุบัน ชุมชนบ้านกลางขุย ได้รับคัดเลือกจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภออุทัย ให้เป็นพื้นที่โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีเนื่องจากมีศักยภาพพอที่จะพัฒนาเป็นชุมชนท่องเที่ยวได้ ทั้งภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และภูมิปัญญาท้องถิ่น บ้านกลางขุย มีทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา มีรอยยิ้ม มีไมตรีจากผู้คน มีอาหารการกินที่ขึ้นชื่อในรสชาติ เช่นน้ำยาปลาช่อนนา ปลาเห็ดสูตรโบราณ ขนมไทยรสอร่อย เห็ดทอดรสเด็ด หน่อไม้ไผ่หวาน ผักพื้นบ้านสารพัดชนิด และอื่นๆ อีกมายมาย เป็นมนต์เสน่ห์แห่งชุมชนลาวเวียง ที่รอให้ทุกท่านมาชม มาชิม มาช็อป และนำไปแชร์บอกต่อๆ กันไป ว่า “บ้านขุยเรามีดี” สนใจท่องเที่ยวชุมชนบ้านกลางขุย ติดต่อ โทร. 089-4113451 (คุณสาธิต ปานดวงแก้ว) บ้านขุย เรามีดี มีรอยยิ้ม มีไมตรี ทุกหย่อมย่าน มีเรืองราวให้จดจำ มีตำนาน ภูมิปัญญาชาวบ้าน นั้นมากมี มาอุทัย ไม่อนาทร นอนบ้านขุย มาพูดคุย มาเที่ยวชม ให้เต็มที่ มาเก็บเกี่ยว น้ำใจและไมตรี มาง่ายงาม ตามวิถีที่พอเพียง