หากจะหาข้อดีในฤดูร้อนของประเทศไทยบ้านเราคงมีไม่กี่อย่าง ที่พอจะนึกออกแบบไม่ต้องคิดคือทุกหน้าร้อน ตามตลาดจะมีการขายผลไม้นานาชนิดที่ออกดอกออกผลพร้อมกันในช่วงนี้ ถึงแม้ช่วงนี้การค้าขายผลไม้ในตลาดจะไม่คึกคักมากนัก แต่ยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นเจ้าของสวนผลไม้ หันมาเปลี่ยนแปลงวิธีการโดยการขับรถเร่ขาย เช่นเดียวกันในเช้าวันนี้ มีชาวสวนขับรถกระบะเร่ขายทุเรียนเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้นึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับทุเรียนกับคนไทยในบันทึกของชาวต่างชาติ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเรื่องกลิ่นของทุเรียนคงเป็นรสนิยมส่วนตัวของแต่ละบุคคล บางคนว่าหอมบางคนว่าเหม็น แต่ถึงอย่างไรทุเรียนก็เป็นราชาแห่งผลไม้ไทย เป็นสินค้าเกษตรที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับเกษตรกรไทยมากขึ้นทุกปี จำได้ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็ก ทุเรียนไทยยังไม่ฮอตฮิตติดลมบนแบบทุกวันนี้ และไม่ได้มีราคาสูงจนถึงหลักพันหลักหมื่นบาท แต่เข้าใจว่าการจะปลูกทุเรียนสักต้นให้ออกดอกออกผลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุเรียนต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ราคาทุเรียนจึงต้องสูงไปตามคุณภาพของแต่ละสายพันธุ์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุเรียนก็เป็นผลไม้ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน แม้กระทั่งซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la loubère) ราชทูตคนสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา ยังต้องบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับทุเรียนในจดหมายเหตุลาลูแบร์ (Du Royaume de Siam) เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียวว่ากันว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้คนนิยมรับประทานทุเรียนไม่ต่างจากยุคนี้ เท่าที่พอจะจำได้ ลาลูแบร์บันทึกเกี่ยวกับทุเรียนเอาไว้ทำนองว่า ลูกทุเรียนในอยุธยามีขนาดใกล้เคียงกับผลแตงไทย แต่ต่างกันตรงที่มีหนามแหลม มีพูหลายพู แต่ละพูขนาดเท่าไข่ไก่ คนสยามจะชอบรับประทานทุเรียนที่มีหลายพู ทั้งที่ทุเรียนที่มีพูไม่มากจะมีรสชาติอร่อยกว่า และเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนสยามและคนในชมพูทวีปถึงได้ชอบรับประทานทุเรียนกันนัก เพราะตัวเขาเองรู้สึกว่ามันเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นเลวร้ายจนทนไม่ไหวเอาเสียเลย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทุเรียนที่ลาลูแบร์ได้บันทึกไว้ ทำให้เราพอจะรู้ว่าทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีมานานแล้ว และยังคงเป็นพระเอกเรื่องการส่งกลิ่นที่ไม่น่าพึงพอใจมากต่อหลาย ๆ คนตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้เมื่อสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ทุเรียนก็ยังคงเป็นผลไม้คู่แผ่นดินไทยเรื่อยมา สมัยธนบุรีมีบันทึกว่ามีการนำทุเรียนจำนวน 3 สายพันธุ์มาจากนครศรีธรรมราช คือทุเรียนอีบาตร ทุเรียนทองสุก และทุเรียนการะเกด ตอนแรกนำมาปลูกที่คลองบางกอกน้อยก่อนแล้วเกิดน้ำท่วมใหญ่ ต้นทุเรียนก็เน่าตายไปเป็นจำนวนมาก ยุคหลังจึงต้องเพาะพันธุ์ทุเรียนกันด้วยเมล็ด ทำให้เกิดทุเรียนสายพันธุ์ผสมมากมายหลายชนิดอย่างทุกวันนี้ และในสมัยรัชกาลที่ 5 นิตยสารวชิรญาณวิเศษ ยังเขียนคำเตือนให้คนไทยระแวดระวังการรับประทานกระเทียมและทุเรียน เพราะจะทำให้เกิดการเรอจนเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม มีคำสั่งให้งดรับประทานทุเรียนอย่างเด็ดขาด หากมีกิจธุระเกี่ยวกับการประชุม นั่นแสดงว่าทุเรียนก็ยังคงเป็นผลไม้เจ้าปัญหาที่ทุกคนต้องระมัดระวังในการรับประทานมาทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุเรียนไทยมีเป็นร้อยสายพันธุ์ เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าและสร้างกำไรมหาศาล หล่อเลี้ยงชีวิตเกษตรกรชาวสวนทุเรียนไทยมานักต่อนัก ยิ่งปัจจุบันวงการอาหารที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้ทุเรียนกลายเป็นวัตถุดิบที่นำมาผสมผสาน เป็นอาหารจานหรูตามภัตตาคาร เปิดโอกาสให้หลายคนเปิดใจรับประทานทุเรียนได้ง่ายขึ้น ส่วนระดับชุมชนก็มีการแปรรูปทุเรียนเป็นสินค้าประจำหมูบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนกวน ทุเรียนทอดกรอบ ไอศกรีมทุเรียน ขนมหวานที่ใช้ทุเรียนเป็นวัตถุดิบ ถึงจะเป็นผลไม้ที่หลายคนคาใจเรื่องกลิ่น แต่ถือเป็นผลไม้ไทยที่ยกระดับวงการอาหารและการเกษตรของไทยให้เป็นที่รู้จักของต่างชาติได้อย่างแน่นอนรูปภาพหน้าปก โดย Gliezl Bancal : Unsplashรูปภาพประกอบที่ 1 โดย Jonny Clow : Unsplashรูปภาพประกอบที่ 2 โดย Jim Teo : Unsplashรูปภาพประกอบที่ 3 โดย Free To Use Sounds : Unsplash