กรุงศรีอยุธยา หรือ ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ของพวกเรานั้น เป็นประวัติศาสตร์ที่หอมหวาน ชวนนึกถึงความยิ่งใหญ่ ความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรแห่งนี้ ชีวิตที่สุขสบาย ชีวิตที่มีเจ้าผู้ปกครองที่ดีเช่น พระนเรศวรมหาราช มีความอุดมสมบูรณ์ มีการค้าที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่ามีหลาย ๆ คนใน"ปัจจุบัน" ที่ได้เห็นภาพดังนี้ไม่ว่าจะจากในละคร ภาพยนตร์ หรืออ่านตำราเรียน หนังสือประวัติศาสตร์ต่าง ๆ แล้วพร่ำเพ้อ ภาวนา รำพึงรำพัน คร่ำครวญจากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันที่ชวนปวดหัว ทำให้หลาย ๆ ท่านซึ่งไม่ขอออกนามได้โพสต์รำพึงรำพันกันว่า "อยากกลับไปอยู่สมัยบ้านเมืองอยุธยาเจริญรุ่งเรือง ชีวิตคงมีความสุขเป็นแน่แท้" เอาจริงมันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่มันทำให้ผมฉุกคิดและอยากลุกขึ้นมากล่าวบอกทุกท่านจากการที่ตัวผมเองนั้นเป็นนักศึกษาในเอกประวัติศาสตร์ และผมมองว่า "นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน" จากความเป็นจริงไปมาก เพราะในความเป็นจริง ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาคือ "ประวัติศาสตร์ที่สลับด้านกับเรา" ดังนั้นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวของผมได้เขียนบทความนี้ "เพื่อ" ต้องการจะนำเสนอภาพความเป็นจริงในบริบทระหว่าง"ยุคปัจจุบัน"กับ"ยุคอยุธยา" ในเชิงวิเคราะห์ให้ทุกท่านได้อ่านกัน เพื่อเปรียบเทียบระหว่าง อรรถรสของสิ่งที่ได้ชมจากละครหรือภาพยนตร์ กับภาพแห่งความเป็นจริงที่เอกสารประวัติศาสตร์โบราณร่วมสมัยไม่ว่าจะพงศาวดาร บันทึกชาวต่างชาติที่เข้ามาในสมัยอยุธยาเคยบันทึกเอาไว้ ผมจะขอนำเสนอโดยสรุปเป็นเนื้อหาให้เข้าใจง่าย ๆ ให้ได้พิจารณากันดูครับ ช่วงเวลาสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของสยามประเทศนั้น อยู่ในช่วงปี พ.ศ.1893-2310 ต้องบอกตามตรงครับว่า สมัยกรุงศรีอยุธยานั้นเรียกว่าเป็นช่วง "รัฐจารีต" คือ การจัดการอำนาจบริหารประชากรและความเชื่อของผู้นำรัฐมาจากจารีตขนบความเชื่อและประเพณีนั้นเอง เอาแบบเข้าใจกันง่าย ๆ คือ ไม่ได้มีหลักเกณฑ์สากลที่เป็นบรรทัดฐานน่ะครับ เช่น ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างถ้าเกิดว่า มีชายคนหนึ่งฆ่าคนคนหนึ่ง ซึ่งหากมีการถูกจับกุมตัวได้ แน่นอนครับว่าคนที่เป็นคนกระทำย่อมปฏิเสธว่าตนเองเป็นคนกระทำ ดังนั้นจึงจะต้องมีการใช้กระบวนการ"พิสูจน์ความบริสุทธ์" เอาล่ะครับมาถึงตรงนี้ ผมจะยกตัวอย่างการพิสูจน์แบบ ปัจจุบัน : สมัยรัฐจารีต ให้ทุกท่านได้ลองพิจารณากันว่า หากท่านไปอยู่สมัยอยุธยาจริง ๆ ท่านจะรับได้กับบริบทนี้ไหมครับ สมัยปัจจุบัน คนกระทำผิดจะถูกเข้ากระบวนการพิสูจน์ความบริสุทธ์ผ่านศาลต่าง ๆ กระบวนการต่าง ๆ มากมายโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บ้างล่ะ พยานแวดล้อมบ้างล่ะ เพื่อให้ได้ความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย แต่สำหรับสมัยรัฐจารีตอย่างอยุธยา หากท่านมีความผิดและท่านไม่ยอมรับ และไม่มีพยานแวดล้อม ท่านจะถูกคณะลูกขุนพิจารณาให้พิสูจน์ความบริสุทธ์ผ่านการ "ลุยไฟ" ........ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ คือการลุยไฟ เพราะนี่คือหลักการของรัฐจารีตไงครับ คิดง่าย ๆ ครับว่ารัฐจารีตใช้กฎเกณฑ์แบบไหน ก็ให้นึกถึงวลีที่ว่าคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ นั่นแหละครับคือหลักเกณฑ์ง่าย ๆ แล้วถามหน่อยครับว่า ไม่ว่าจะบุคคลสมัยไหน การโดนลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธ์ มีใครสามารถรอดได้บ้างครับ หากคิดแบบตัดความเชื่อเเนวไสยศาสตร์ออกไปนะครับ นี่คือการยกตัวอย่างหนึ่งที่ว่าหากต้องไปอยู่สมัยอยุธยาจริง ๆ จะไม่มีใครสามารถอยู่สมัยอยุธยาได้หรือไม่ได้อยากอยู่สมัยอยุธยาจริง ๆ หรอกครับ เพราะบรรทัดฐานความยุติธรรมกับสมัยเรามันต่างกันมาก วัดไชยวัฒนาราม สร้างในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ภาพโดย freepikวัดพระศรีสรรเพชญ์ อยู่ในเขตพระราชวังหลวงอยุธยา บริเขตพระราชวังหลวงแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่นองเลือดของการชิงราชบัลลังก์ในอยุธยา นำมาซึ่งกบฏมากมาย (ภาพจาก pixabay) อีกสักตัวอย่างนะครับ เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจมากขึ้น และเลิกคิดว่า การไปอยู่สมัยอยุธยาจะเป็นสุขจริง ๆ เพราะท่านอาจจะคิดว่าอยู่สมัยอยุธยาคงจะได้ทำมาหากิน ไปมาค้าขายสะดวก........ผมขอบอกและกล้าการันตีเลยครับว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยครับ เพราะหากท่านไปอยู่สมัยอยุธยา ในบรรดารัฐจารีตที่ปกครองคนด้วย "ระบบชนชั้นศักดินา" ไม่สามารถทำตามใจตนเองได้ เพราะท่านต้องอยู่ในระบบสังกัดมูลนาย เป็นผู้ชายท่านต้องสักเลก มีสังกัดมูลนายชัดเจน เป็นไพร่หลวงหรือไพร่สม (ไพร่หลวงคือไพร่ที่ทำงานให้กับพระมหากษัตริย์หรือราชสำนัก ส่วนไพร่สมขึ้นกับสังกัดมูลนายทำงานให้นายที่ตัวเองสังกัด) หากท่านเป็นผู้ชายสมัยอยุธยา ท่านจะได้อยู่บ้าน 1 เดือน เข้าเวร (ในวังหรือทำงานให้บ้านเจ้านายตนเอง) 1 เดือน โดยระบบนี้แหละครับที่เรียกกันว่า ระบบเกณฑ์ไพร่ เข้าเดือนออกเดือน หากมีศึกสงครามเหล่าบรรดาผู้ชายจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารให้ออกรบไม่ว่าท่านจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ท่านไม่มีสิทธ์เลือก ซึ่งในความจริงมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายครับ หากท่านไม่อยากเข้าเวรทำงานให้นาย ท่านต้องให้ส่วย หรือเงินใต้โต๊ะนั้นแหละ ซึ่งในสมัยอยุธยาถือว่าไม่ได้มีความผิดนะครับ เป็นการให้ของตอบแทน แลกกับการที่ไม่ต้องมาทำงานให้ ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้ก็มีแต่ได้กับได้กันทั้งคู่ก็จริง แต่โดยระบบแล้ว หากท่านคิดว่าท่านเป็นคนปัจจุบันนะครับ ท่านจำเป็นต้องเสียเงินกับเรื่องแบบนี้ไหม? เหมือนท่านไม่มีความผิดใด ๆ หรือเหตุใด ๆ ให้ต้องจ่ายเงิน แต่ท่านต้องจ่ายเงินแลกกับการได้มีอิสรภาพในการใช้ชีวิตให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ มิหนำซ้ำท่านไม่มีสิทธิ์เลือกนะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะเน้นให้ได้อ่านกันว่า เอาเนื้อแท้หากพิจารณาแบบไม่อคติ ไม่ชาตินิยม ท่านคิดดูนะครับว่า ท่านอยู่ในสมัยช่วงที่ปกครองด้วยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก แสดงความคิด เดินทางไปที่ใดก็ได้ แม้จะทำงานแต่ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น ถามเจ้านายได้ แต่หากไปในสมัยอยุธยา ท่านไม่มีสิทธิ์ถามนะครับ ท่านถามได้ แต่ท่านก็สามารถโดนลงโทษได้โดยง่ายดาย ท่านไม่สามารถก่อม็อบได้นะครับหากอยู่สมัยอยุธยาและในประวัติศาสตร์สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์อยุธยา เพราะในสมัยรัฐจารีตหากท่านทำเช่นนั้น เท่ากับท่าเป็น กบฏ เลยนะครับ โทษสมัยอยุธยาคือ ประหารชีวิตโดยวิธีการตัดหัวเสียบประจาน หรือ หากท่านปลูกข้าว มีชาวต่างชาติมาสนใจจะซื้อโดยให้ราคาดี.......ท่านขายโดยตรงให้พวกเขาไม่ได้ ท่านต้องขายให้พระคลังสินค้า เพราะในกฏหมายสมัยอยุธยาหลายสิ่งอย่างเป็นสินค้าต้องห้าม (คือห้ามขายเอง แต่ต้องขายให้พระคลังสินค้าเท่านั้น) และแน่นอนว่า หากจะให้เปรียบเทียบว่า แล้วมันต่างกันยังไง ทำไมจะรับไม่ได้ ผมก็ขอบอกง่าย ๆ ครับว่า หากมีคนมายื่นราคาขายให้ท่านว่า จะรับซื้อขายตันละ 1 หมื่นบาท แล้วพอเราขายไปให้เขา แล้วเขาเอาไปขายต่อให้ชาวต่างประเทศ 5 หมื่นบาท ซึ่งในความจริงหากขายตรงกับชาวต่างชาติเขาอาจให้ราคา 2 หมื่นบาท ท่านจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งข้าวนั้นก็ไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูปใด ๆ เลยนะครับ คือข้าวที่ท่านปลูก ท่านสีนั้นแหละ...........ท่านจะรับได้ไหมครับ นี่แหละครับที่อยากจะบอกว่า มันมีการผูกขาด กำไรต่าง ๆ นา ๆ ท่านไม่มีสิทธิ์ได้แบบเต็มน้ำเต็มเนื้อ แล้วท่านคิดว่าท่านจะมีความสุขและอยู่ได้จริงไหมครับ ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้ ไม่ได้เพื่อจะให้เกิดดราม่าหรือต่อว่าท่านใดท่านหนึ่งนะครับ เพียงแค่วิเคราะห์ให้ทุกท่านได้มาอ่านกันเพื่อให้เห็นแก่นแท้จริง ๆ ว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาหากท่านได้ย้อนเวลาไปอยู่ ท่านต้องอยู่ในระบบศักดินา ต้องมีสังกัดมูลนาย สิทธิในการค้าขายหรือทางเลือกของท่านมีไม่มากหรอกครับหากท่านไม่ใช่ "ชาวต่างชาติ" เพราะชาวต่างชาติในสมัยอยุธยา ราชสำนักถือว่าเป็นผู้มีความรู้และมีประโยชน์กับราชสำนัก ที่จะใช้สอยได้ ชาวต่างชาติมีสิทธิในการค้าขาย รับราชการ แต่หากเป็นท่านต้องการรับราชการ มีเงื่อนไขมากมาย สำคัญที่สุดคือ "ชาติกำเนิด" ท่านคิดว่าท่านจะอยู่ได้ไหมครับในบริบทสังคมที่ประเมินค่าท่านเช่นนั้น ผมไม่ได้กล่าวว่าสังคมสมัยอยุธยาไม่ดีนะครับ ผมต้องออกตัวก่อนเลยว่าสังคมในสมัยอยุธยาไม่ใช่ไม่ดี แต่เป็นบริบทของสังคมแต่ละสมัยซึ่งสมัยอยุธยาเป็นรัฐจารีตเป็นเช่นนั้นจึงไม่แปลกและคนสมัยนั้นก็ยอมรับได้เพราะยังไม่มีระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่มีระบอบการปกครองที่ให้ความเสมอภาคแบบปัจจุบัน นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อให้ทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้ได้ทราบว่า "อยุธยาคือประวัติศาสตร์ที่สลับด้านกับสมัยของเราอย่างมาก" ซึ่งกว่าจะเป็นประเทศไทยในปัจจุบันผ่านการปฏิรูปโครงสร้างทางสังคมมาหลายครั้งแต่ที่สำคัญมีสองครั้งคือ สมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เลิกทาส ซึ่งประวัติศาสตร์นี้คือส่วนแรกที่สำคัญที่พลิกประวัติศาสตร์สยามไม่น้อย อย่างน้อยคือเปลี่ยนจากสมัยอยุธยารัฐจารีต และอีกครั้งหนึ่งคือการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ที่ทำให้เกิดระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็จึงนำมาซึ่งบริบททางสังคมสมัยใหม่และเกิดความเท่าเทียมในสังคมมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผมเชื่อเลยว่ามีน้อยคนครับที่อยากไปอยู่ในสังคมบริบทเช่นสมัยอยุธยา ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ แต่เพราะท่านอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีสิทธิเสรีภาพในการกระทำและมนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องการอิสระเสรีภาพอยู่แล้วในตัว ดังนั้นสุดท้ายนี้ก็คงแล้วแต่ทุกท่านจะวิเคราะห์กันแล้วหล่ะครับว่ามีความคิดเห็นเป็นเช่นไร ผมไม่ได้ต้องการให้ท่านเชื่อตามคำกล่าวของผมแต่ตัวของผมเองแค่อยากจะเสนอภาพของบริบทสังคมสมัยอยุธยาแบบรวม ๆ ให้ทุกท่านได้รับทราบเองเท่านั้นครับผม ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของบทความ "อยุธยา โลกที่สลับด้านกับปัจจุบัน"ภาพวัดราชบูรณะ วัดที่มีเรื่องราวการชิงอำนาจระหว่างเจ้าอ้ายและเจ้ายี่พระยา จนนำไปสู่การสิ้นพระชนม์ทั้งคู่และได้เจ้าสามพระยาทรงมาสร้างวัดอุทิศให้แก่พระเชษฐาทั้งสอง ภาพโดย นายสรวิชญ์ ขุนเศรษฐ์เครดิตภาพหน้าปก : นายสรวิชญ์ขุนเศรษฐ์