ใครบอกว่า ถ้าพูดถึงอยุธยา ต้องไปตามรอยออเจ้าแน่ ๆ กันล่ะ ใคร ๆ ก็คิดกันแบบนี้ แต่คิดผิดแล้ว เพราะวันนี้ เราจะพาไปเที่ยวอยุธยา แบบไม่ตามรอยละครดังอย่าง "บุพเพสันนิวาส" ที่ดังเปรี้ยงปร้างไปทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อปีก่อน อยุธยาไม่ได้มีดีแค่วัดไชยวัฒนาราม และวัดอื่น ๆ อีกหลายสิบแห่ง แต่อยุธยามีมากกว่านั้น จะเป็นอะไร ตามไปดูกันเลยค่า เริ่มต้นทริป 1 วันในอยุธยา ด้วยการกินกันก่อน เพราะเราถือคติที่ว่า กองทัพ(เที่ยว) ต้องเดินด้วยท้องเสมอ และแน่นอนว่ามาอยุธยาทั้งที สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ กุ้งเผาอยุธยานั่นเอง และร้านที่เราจะแนะนำก็คือ "ร้านกุ้งเพื่อนแพรว" ร้านกุ้งเผาร้านดังของอยุธยาที่หนึ่งในใจของผู้เขียน ที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อแล้ว หรือบางคนอาจจะเคยไปกิน ร้านนี้ขอแนะนำและขอคอนเฟิร์มว่าอร่อยจริง ๆ ค่ะ กุ้งที่ร้านจะมีหลายราคา และแต่ละวันราคาของกุ้งก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักกุ้งของแต่ละวัน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 300-650 ต่อกิโลกรัมค่ะ เราสามารถไปเดินดูไซส์กุ้งในบ่อกุ้งหน้าร้านระหว่างรอคิวโต๊ะเลยก็ได้ แล้วเล็งไว้ก่อนไปเขียนรายการสั่งอาหารที่โต๊ะ กุ้งที่นี่จะสดมากจริง ๆ ค่ะ ที่ร้าน พอมีรายการกุ้งมา เขาก็จะตักขึ้นมาจากบ่อแล้วตั้งตะแกรงเผากันตรงนั้นเลย รับรองว่าสดจริง เนื้อกุ้งที่ได้รับการเผามาแบบพอดี ๆ จะเด้ง กรอบ และฉ่ำมาก กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดส์ของทางร้านก็อร่อยเลิศมาก แนะนำให้ทุกคนได้ไปลองรับประทานกันดูนะคะ ไม่มีผิดหวังจริง ๆ ค่ะ กุ้งร้านนี้ สำหรับใครที่อยากลองมาทาน ก็มาไม่ยากเลย ขับมาจากกรุงเทพประมาณ 100 กิโลเมตรเท่านั้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะถึงตลาดกลางเพื่อการเกษตร จะอยู่ติดถนนสายเอเชียเลยค่ะ ฝั่งขาเข้ากรุงเทพ เป็นร้านแรกด้านขวามือ ป้ายร้านสีฟ้า เวลาเปิด-ปิด 08.30 - 21.00 ทุกวัน เบอร์ติดต่อ 0-3534-5490, 08-6393-0127 อิ่มท้องแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ ไปต่อกันที่ "พระราชวังบางปะอิน" กันเลยค่า หลาย ๆ คนอาจลืมไปกันแล้วว่าที่อยุธยาเองก็มีพระราชวังใหม่ ๆ ที่ยังสวยงามอยู่ ไม่ได้มีแค่วัดเก่า ๆ โบราณสถานต่าง ๆ วันนี้ เราจะพาทุกคนไปเที่ยวพระราชวังบางปะอินกันดูค่ะ เมื่อมาถึง เราก็จะทำการซื้อบัตรเข้าชมที่ประตูด้านหน้ากันนะคะ ตรงนี้ นอกจากจะตรวจบัตรเข้าชมแล้ว ยังจะมีการตรวจการแต่งกายด้วย ที่นี่จะค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องการแต่งกาย เนื่องจากเป็นเขตพระราชฐาน การแต่งกายจึงต้องสุภาพเรียบร้อย หากใครที่เผลอใส่เครื่องแต่งกายที่ไม่ถูกระเบียบมา ด้านหน้าก็จะมีผ้าถุงให้ยืมฟรีค่ะ โดยจะมีค่ามัดจำ 200 บาท และจะได้คืนตอนคืนผ้าค่ะ พอเข้ามาก็จะมีบูธบริการเช่ารถกอล์ฟสำหรับใครที่ขี้เกียจเดินนะคะ เพราะที่นี่พื้นที่ค่อนข้างกว้าง มีพื้นที่ถึง 116 ไร่ กันเลยทีเดียว ถ้าจะให้เดินก็อาจจะเดินกันจนขาลากได้ ค่าบริการก็จะอยู่ที่ ชั่วโมมงละ 400 บาทเท่านั้น ชั่วโมงต่อไปอยู่ที่ 100 บาทค่ะ แต่คนที่ขับ จะต้องแสดงบัตรใบขับขี่ตามกฏหมายด้วยนะคะ จึงจะขับได้ พระราชวังบางปะอินแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาตามพระราชพงศาวดารครั้งกรุงเก่าว่า สร้างขึ้นโดยพระเจ้าปราสาททอง หรือพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่ 5 ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถที่ประสูติแต่หญิงชาวบางปะอิน เมื่อพระเจ้าปราสาททองขึ้นครองราชย์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งบนเกาบางปะอินบนเคหสถานเดิมของพระมารดา และพระราชทานชื่อว่า "วัดชุมพลนิกายาราม" และให้ขุดสระน้ำสร้างพระราชนิเวศน์สถานไว้ที่กลางเกาะสำหรับเสด็จประพาส และสร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ขึ้นด้วย และพระราชวังแห่งนี้ก็ใช้เป็นที่ประพาสสำราญพระราชหฤทัยพระเจ้าแผ่นดินตลอดมา และถูกปล่อยรกร้างทรุดโทรมเมื่อครั้งเสียกรุง พ.ศ. 2310 จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชวังแห่งนี้ไ้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งสำหรับเป็นที่ประทับ เรือนแถวสำหรับฝ่ายใน และพลับพลาริมน้ำ และในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดที่จะเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินอยู่เสมอ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งต่าง ๆ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นที่ประทับ และที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ตลอดจนใพระราชทานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ ภายในพระราชวังบางปะอินจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ พระราชฐานชั้นนอก ประกอบด้วย พระที่นั่งที่ใช้สำหรับออกมหาสมาคมและพระราชพิธีต่าง ๆ ได้แก่ หอเหมมณเฑียรเทวราช สภาคารราชประยูร พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ และพระที่นั่งวโรภาษพิมาน เมื่อเดินเข้ามาตามทางเรื่อย ๆ สิ่งแรกที่เราจะเห็นก็คือ ศาลาริมน้ำที่มีลักษณะหลังคาคล้ายๆกับกระโจมอะไรสักอย่าง สถาปัตยกรรมนี้มีชื่อว่า กระโจมแตร ตั้งอยู่ริมสระน้ำ และเมื่อมองไปตรงกลางสระ ก็จะเห็นศาลากลางน้ำ คือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ เป็นพระที่นั่งปราสาทโถงกลางน้ำแบบจตุรมุข ตรงกลางประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของรัชกาลที่ 5 ถัดไปจะเป็นส่วนของพระราชฐานชั้นใน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนมากของพระราชวังแห่งนี้ เป็นส่วนที่ประทับของพระมหากษัตริย์ และอัครมเหสี และพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ส่วนนี้จะสังเกตได้จาก จะเป็นส่วนที่อยู่ด้านหลังประตูเทวราชครรไลและสะพานเชื่อมกับพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ระหว่างอาคาร จะมีแนวฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นกลางตลอดแนวสะพานเพื่อแบ่งเป็นทางเดินสำหรับชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งฝ่ายในสามารถมองลอดออกมาได้โดยที่ตัวเองไม่ถูกแลเห็น พระราชฐานชั้นในจะประกอบด้วยที่ประทับ พลับพลาศาลาต่าง ๆ สถาปัตยกรรมที่สำคัญได้แก่ - เก่งบุปผาประพาส เป็นเก๋งไม้สีชมพู ตกแต่งด้วยการฉลุลายไม้อย่างสวยงาม หรือที่เรารู้จักกันว่า การตกแต่งแบบบ้านขนมปังขิง - พระที่นั่งเวหาศจำรูญ เป็นพระที่นั่งสองชั้นศิลปะจีน สร้างโดยพ่อค้าชาวจีนในไทย ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ลงรักปิดทองอย่างงดงาม - หอวิฑูรทัศนา เป็นหอสูงสีสดใสมียอดมน ตั้งอยู่กลางเกาะในพระราชอุทยาน มีลักษณะโดดเด่นเพราะสูงใหญ่มาก รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นหอส่องกล้อง ชมภูมิประเทศ และดูดาว ใครที่สนใจมา ค่าเข้าชม – เด็ก, นักเรียน, นักศึกษา 20 บาท, ผู้ใหญ่ 30 บาท, ต่างชาติ 100 บาท เวลาทำการ 8.00 - 16.00 สอบถามรายละเอียดดเพิ่มเติม (035) 261 548, (035) 261 044 อย่าลืม เน้นย้ำเรื่องการแต่งกายด้วยนะคะ เครดิตภาพถ่าย : ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน :-)