อื่นๆ

ศาลาหลอนท้ายวัด

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ศาลาหลอนท้ายวัด

     ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงที่อากาศดีมากโดยเฉพาะเวลาเย็นๆ   ผมชอบมานั่งเล่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำท้ายวัดตตามลำพังเป็นประจำ มักจะมีฝูงปลาว่ายน้ำให้ดูเล่นอยู่ตลอดเวลา เป็นช่วงเวลาที่สบายใจที่สุดและชื่นชอบกับบรรยากาศเวลานั้นเป็นอย่างมาก จำได้ว่าตอนนั้นผมอายุประมาณ 13 ปี บ้านผมอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นในหมู่บ้าน จึงไม่ค่อยใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปวิ่งเล่นกับเด็กอื่นๆ ในหมู่บ้านเท่าไรนัก มีเพียงศาลาริมน้ำท้ายวัดเก่าๆ นี่แหล่ะที่ผมมักจะมานั่งเล่นประจำ แทบทุกวัน


Advertisement

Advertisement

alt="https://onscene-prod.s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/files/styles/body_image_480w/public/inline-images/images_18.jpg?itok=uy9amehB" >

       หลังจากที่ผมเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผมก็ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ โดยพักอาศัยกับญาติที่ทำงานอยู่ที่นั่น และผมก็ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเลยจนระยะเวลาผ่านไปหนึ่งปี ช่วงนั้นปิดเทอมใหญ่และไม่มีกิจกรรมที่โรงเรียนในตอนปิดเทอม ผมจึงกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่ที่บ้านต่างจังหวัด ซึ่งทางกลับบ้านผมนั้นยังต้องนั่งรถสองแถวเข้าไปอยู่ บรรยากาศร่มรื่นมากเพราะเป็นช่วงฝนตกใหม่ๆ ไอดินกลิ่นฟางหอมฟุ้งติดจมูกชวนให้หวนคิดถึงบรรยากาศเมื่อสมัยตอนเด็กๆ ที่ผ่านมาเป็นสิบๆ ปี เมื่อรถสองแถวจอดตรงทางสามแยก ผมต้องลงและเดินต่อไปอีกสามกิโลเมตรเพื่อจะเข้าบ้าน แต่โชคดีจำได้ว่ามีบ้านคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ ปากทางจึงเดินเค้าไปแวะทักทายและให้ขอเขาขับมอเตอร์ไซต์ไปส่งที่บ้าน เพราะนี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว เขาก็ใจดีพาไปส่งถึงบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วผมก็ทักทายพ่อกับแม่ และรีบอาบน้ำมากินข้าว เนื่องจากเดินทางทั้งวันจึงรู้สึกเพลียอยากพักผ่อนและรีบเข้านอน

Advertisement

Advertisement


    ถึงเวลารุ่งเช้าผมรีบตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา และให้แม่ทำกับข้าวให้เพื่อไปถวายพระที่วัดตอนเช้าเพราะวันนี้เป็นวันพระ จึงเป็นโอกาสที่จะไปทำบุญเสียหน่อยหลังจากที่ไม่ได้กลับมาเป็นปี บ้านของอยู่ไม่ห่างจากวัดมากนักสามารถเดินไปได้อย่างสบายๆ เมื่อถวายข้าวพระฟังธรรมเสร็จแล้ว ระหว่างเดินกลับบ้านผมก็หันไปมองที่ศาลาริมน้ำหลังเก่าที่ผมชอบไปนั่งเล่นอยู่ประจำเมื่อสมัยยังอยู่ที่นี่สภาพก็ดูโทรมลงไปมากคงเพราะไม่ค่อยมีใครมาดูแล จึงคิดในใจว่า ตอนบ่ายแก่ๆ จะมานั่งเล่นรำลึกช่วงเวลาสมัยเด็กๆ เสียหน่อย หลังจากนั้นราวบ่ายสามกว่าๆ ผมได้ถือหนังสือการ์ตูนมานั่งอ่านที่ศาลาริมน้ำท้ายวัด วันนั้นเป็นวันที่อากาศดีลมพัดเย็นสบาย น้ำใสจนมองเห็นฝูงปลาที่ว่ายน้ำกันไปมา เป็นบรรยากาศที่ผมชื่นชอบมาก ผมจึงหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านแล้วเผลอเอนหลังหลับไป แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้วจึงรีบลุกขึ้นแล้วรีบเดินกลับบ้านก่อนที่พ่อแม่จะเป็นห่วงพลันเงยหน้ามองพระจันทร์ก็รู้สึกว่าพระจันทร์คืนนี้เต็มดวงสวยงามจริงๆ นี่คงเป็นวันพระ 15 ค่ำสินะ ระหว่างที่ผมเดินออกจากศาลานั้น ก็เห็นเหมือนมีคนสองคนเป็นชายกับหญิงเดินมาไกลๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่าคงเป็นหนุ่มสาวแถวนี้มาหาที่นั่งพรอดรักกันตามปกติ ผมเดินไปจนเกือบถึงบ้านก็นึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบหนังสือการ์ตูนที่วางไว้ที่ศาลามาด้วย จึงตัดสินใจรีบเดินกลับไปเอาเพราะยังอ่านไม่จบเรื่องวางทิ้งไว้กลัวมีใครหยิบไปเสียดายแย่ เมื่อผมกลับไปที่ศาลามองเห็นศาลาไกลๆ ก็เหมือนมีเงาคนนั่งอยู่ที่ศาลาก็คิดว่าคงเป็นสองคนที่ผมเห็นเมื่อสักครู่ แต่เมื่อเดินเข้าไปจนถึงตัวศาลากลับไปพบว่ามีใครอยู่เลย มีเพียงหนังสือการ์ตูนของของที่ยังวางอยู่ที่เดิม ทำให้ผมแปลกใจเป็นอย่างมากว่าเป็นไปได้อย่างไร ผมจึงพยายามมองดูรอบๆ ว่ามีใครอยู่แถวนั้นหรือป่าว แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครสักคน แต่เมื่อผมหันหน้ามองลงไปทางแม่น้ำ ทำให้ผมเกิดอาการตกใจ จนขึ้นขั้นแทบช๊อค เพราะภาพที่ผมเห็นคือ ร่างของผู้หญิงผมยาวลอยอยู่ในน้ำ สภาพตัวบวมอืดลูกตาถลนนออกมาทั้งสองข้างจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร ผมตกใจมากไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ หัวใจเต้นแรงใบหน้าร้อนผ่าวและหายใจไม่เป็นจังหวะ แขนขาแข็งเกร็งไปหมดจนแทบจะขยับไม่ได้ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดที่เคยเห็นมาสำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างผมในตอนนั้น  เมื่อผมตั้งสติได้ผมจึงรีบหันหลังกลับมาเพื่อที่จะวิ่งหนีไปให้พ้นจากตรงนั้น แต่ทันทีที่ผมหันหลังกลับมายิ่งทำให้ผมเจอกับสิ่งที่ต้องทำให้ตกใจยิ่งกว่าคือ ร่างของชายคนนึ่งที่แขวนห้อยไว้กับเชือกที่ผูกไว้กับขื่อของศาลา แขนขาบวม หน้าเละและมีกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรง ผมตกใจมากจนต้องร้องอุทานดังลั่นว่า " เฮ้ย !!! " แล้วเสียหลักล้มหงายหลังลงไปนั่งก้นกระแทกกับพื้นศาลา ตอนนั้นแทบไม่มีสติจะคิดอะไร ได้แต่หลับตาแล้ววิ่งสุดชิวิตออกมาจากศาลาพลางร้องตะโกนดังลั่นว่า " ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย " จนหมาแถ้วนั้นเห่ากันเป็นระงม ผมลืมตาแล้วมาล้มอยู่หน้ากุฎิพระในวัด มีพระสองสามรูปเข้ามาดูแล้วถามว่า " หนูเป็นอะไร ร้องดังลั่นเชียว " ผมจึงตอบกลับไปว่า " ผมเห็นคนผูกคอตาย และผู้หญิงจมน้ำอยู่ที่ศาลาครับ หลวงพี่ " หลงพี่จึงบอกว่า " ใจเย็นๆ นะ ขึ้นมาที่กุฏิก่อน " หลวงพี่จึงพาผมเข้ามาที่กุฏิ แล้วเอาน้ำมนต์ให้ดื่มและล้างหน้า พร้อมกับเอายาดมให้ดม ผมอาการดีขึ้น แล้วหลวงพี่จึงถามว่า "แล้วไปทำอะไรที่ศาลามืดค่ำขนาดนี้" ผมจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง หลวงพี่จึงบอกว่า "วันนี้เป็นวันพระใหญ่พวกเขาเลยออกมากัน "  ผมจึงถามหลวงพี่กลับไปว่า " ใครหรอครับหลวงพี่ " หลวงพี่จึงเล่าให้ฟัง ว่า เมื่อปลายปีที่แล้วมีหญิงชายคู่หนึ่งเป็นคนในหมู่บ้านนี่แหล่ะ ชื่อจอยกับเอก ซึ่งผมก็คุ้นชื่อสองคนนี้เพราะเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนตอนผมเด็กๆ สองคนนี้ชอบพลอกัน แต่จอยมีสามีอยู่แล้ววันนึงจอยได้นัดเอกมาเจอที่ศาลาท้ายวัดเพื่อจะบอกให้เอกเลิกยุ่งกับจอยเพราะจอยรู้สึกผิดกับสามีและครอบครัว แต่เอกไม่ยอมและโกรธมากจึงทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นบีบคอจอยจนตายแล้วทิ้งศพลงไปในน้ำ ส่วนตัวเอกก็เสียใจมากจึงผูกคอตายตามที่ศาลาริมน้ำท้ายวัดนั้น และมักจะมีชาวบ้านเห็นสองคนนั้นบ่อยๆ ในคืนวันพระใหญ่ก็เป็นวันที่สองคนนั้นตายนั้นแหล่ะ เมื่อได้ยินที่หลวงพี่เล่าให้ฟังผมก็ขนลุกซู่ในทันที และไม่กล้าที่จะไปนั่งเล่นที่ศาลาแห่งนั้นดีกเลย...........

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์