อื่นๆ

ในวันที่เมฆเป็นสีเทา สักวันเราคงพบกันอีก

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ในวันที่เมฆเป็นสีเทา สักวันเราคงพบกันอีก

ในวันที่อากาศเริ่มหนาว ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างจากห้องเรียน ในขณะที่ครูกำลังอธิบายความหมายของกลอนภาษาไทยอะไรสักอย่างอยู่

" จะหนีอื่น หมื่นแสน ในแดนโลก
พอย้ายโยก หลบลี้ หนีพ้นได้
แต่หนีหนึ่ง ซึ่งมีชื่อ คือหนีตาย
หนีไม่ได้ ใครไม่พ้น สักคนเดียว "

แล้วปากกาในมือก็หล่นตกพื้นเมื่อจบคำสุดท้าย

กริ๊งงง... เสียงบอกเวลาเลิกเรียน เรากำลังเดินกลับบ้านแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เราหยิบขึ้นมารับ สายตาก็ยังคงมองไปที่ท้องฟ้าสีน้ำตาลแดง 

"เมฆ.. อาม่าเสียแล้วนะ" เสียงแม่พูดขึ้นในโทรศัพท์ทันทีที่รับสาย

"...." เราพูดไม่ออก ใจเต้นแรง 

"เราต้องไปงานศพที่ราชบุรี วันพรุ่งนี้" แม่พูดต่อ

"เมฆไปไม่ได้ เมฆมีสอบวันจันทร์" เราตอบกลับไป เรามีสอบกลางภาควันสุดท้ายวันจันทร์ ตอนนั้นเราสับสนมาก

"งั้นเมฆต้องไปวันเผาในวันพุธนะ อาม่าคิดถึงเมฆ เขารอเมฆไปส่งนะ อาม่าเรียกชื่อเมฆเป็นคนสุดท้ายที่โรงพยาบาล.." แม่พูดต่อ

Advertisement

Advertisement

"โอเค เมฆจะไป"

...พอวางสาย น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ทันตั้งตัว เราโตมาตั้งแต่เล็กก็มีแต่อาม่าที่เลี้ยงดูเรามา เพราะพ่อแม่ต้องทำงานต่างจังหวัด 

แต่ตั้งแต่โตมา เราไม่เคยไปเยี่ยมอาม่าอีกเลย เพราะเราติดเพื่อน และก็เบื่อที่ต้องไปนั่งฟังอาม่าพูดเรื่องเดิมๆ ทุกครั้ง อาม่าเราเป็นอัลไซเมอร์

เราไม่คิดว่า คำพูดสุดท้ายที่อาม่านึกถึง จะเป็น เมฆ ชื่อของเรา...

แล้ววันพุธ ก็มาถึง... เรานั่งรถไปกับพ่อแม่ 

พอถึงวัดก็เย็นแล้ว ตอนนั้นฟ้าเริ่มครึ้ม น่าจะประมาณทุ่มนึงได้ 

วัดเป็นวัดเก่า มีโรงสวดทำพิธี มีโรงอาหาร และมีเมรุเผาอยู่ตรงกลาง

เราก็ไม่ได้คิดอะไร เดินเข้าไปโรงสวด ที่มีศพอาม่าตั้งอยู่ เราจุดธูปไหว้อาม่า แล้วพูดกับอาม่าในใจ

"อาม่า... เมฆมาแล้วนะ" 

ทันทีที่พูดจบ ไฟก็ดับทั้งวัด มีเพียงแสงจากเทียนที่จุดอยู่ที่หน้าโลงศพ..

Advertisement

Advertisement

ทุกคนวิ่งไปมาเพื่อต่อไฟจากเทียนกัน เจ้าอาวาสและบรรดาพระ ก็รีบวิ่งวุ่นไปดูห้องไฟฟ้าของวัด

ตอนนั้นเราอยากจะลุกขึ้น.. แต่ขาเราชาแล้วตัวก็แข็งทื่อ.. รู้สึกเหมือนโดนผีอำ

เราขยับตัวไม่ได้เลย มือก็ถือธูปอยู่ เราไม่สามารถหันหน้า ไปทางอื่นได้ ไม่สามารถลุกออกจากท่านั่งชันเข่าได้ และไม่สามารถเอามือที่พนมอยู่ลงได้..

แสงเทียนที่ส่อง ทำให้เรามองเห็นรูปอาม่าที่อยู่หน้าโลงได้ชัดเจน เพียงอย่างเดียว..

แล้วจู่ๆ หลังก็เย็นวาบ 

"อาเมฆ..มาหาอาม่าแล้ว.." เสียงผู้หญิงวัย 80 กว่าที่คุ้นเคยดี สำเนียงจีนแต้จิ๋ว มากระซิบที่หูข้างซ้าย... เรารู้ทันทีว่านั่นคืออาม่า

"อาเมฆ อาม่าหนาวมากเลย อาม่าอยากให้อาเมฆกอดอาม่าเหมือนตอนเล็กๆ ที่อาม่านอนกอดเมฆทุกวัน" เราน้ำตาไหลออกมาตกลงที่หน้าขาตัวเอง เรารู้ทันทีว่าอาม่าเหงาแค่ไหน เรารู้ทันทีว่าอาม่าคิดถึงเรามากแค่ไหน ในวันที่เราไม่สามารถสัมผัสตัวอาม่าได้อีกแล้ว

Advertisement

Advertisement

"อาม่า... เมฆขอโทษ" เราพูดในใจ น้ำตาไหลตลอดเวลา 

ทันใดนั้นไฟที่วัดก็กลับมาติดปกติ ทุกคนร้องเย้ดีใจกันใหญ่

ตัวเราล้มลง มานั่งพับเพียบที่พื้น น้ำตาก็ยังไหลเลอะเต็มหน้า สายตาเราก็ยังมองไปที่รูปอาม่า แล้วรู้สึกหวิวในใจ

แม่เราเดินมาเรียกให้ไปโรงอาหาร เพื่อไปกินข้าวต้มที่วัดจัดไว้ 

เราปาดน้ำตาและลุกเดินไปที่โรงอาหาร... ใจก็ยังคิดและตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ 

บนโต๊ะอาหารเราได้เจอญาติมากมาย แต่เราไม่ได้พูดคุยอะไร เพียงแค่ทักทายสวัสดี

มือเราก็หยิบช้อนเขี่ยไปมา ในชามข้าวต้ม..

นั่งเหม่อลอย หันหน้าออกไปที่เมรุซึ่งอยู่กลางวัด 

ทันใดนั้น เราก็เห็นเงาสีดำ เป็นรูปทรงผู้หญิงผมบ็อบยืนอยู่บนเมรุ หันมามองเรา... "อาม่า..." เราพูดเบาๆ ในคอ พร้อมกับมือที่เริ่มสั่น

แล้วเงาอาม่าก็ค่อยๆ หันหลังจากเราไป แล้วเดินเข้าไปในเมรุ...

"เมฆ เมฆ ... เมฆ!" เสียงแม่ตะโกนเรียกเรา จนเราสะดุ้งและหันกลับมา

"ไปเก็บจานได้แล้ว เดี๋ยวเราเตรียมตัวสวดกัน แล้วส่งอาม่าแล้ว" แม่พูด

เมื่อถึงเวลาส่งศพอาม่า เรารู้สึกถึงบทกลอนของครูได้เลยทันทีว่า ไม่มีใครหนี หรือหยุดความตายได้เลยจริงๆ 

เราเสียใจจนรู้สึกว่า น้ำตาของเราเทียบไม่ได้กับสิ่งที่รู้สึกจริงๆ ข้างใน

เราไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเราแค่คิดไปเอง..

แต่ที่เรารู้คือ .. เราจะใช้เวลากับครอบครัวของเราทุกคนให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ปล่อยให้ใครต้องทนเหงาทนหนาว แล้วจากไปอีกแล้ว

ขอบคุณภาพประกอบ

https://www.tnews.co.th

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์