ในช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเที่ยวเทศกาลดนตรี Season of Love Song ครั้งที่ 10 มาค่ะ เป็นการมาเที่ยวราชบุรีครั้งแรกกับแฟน หลังจากจบคอนเสิร์ต ก็ไม่ได้แพลนอะไรไว้มากมาย แต่ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เพื่อนที่มาด้วยกันอยากดูอัลปาก้ามาก ๆ บวกกับคนรู้จักแนะนำที่นี่มา เราจึงตกลงกันว่า เราจะไป AlpacaHill กันค่ะ AlpacaHill ตั้งอยู่ถนนผาปก-ตะโกล่าง ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ใครที่ขับรถไปเองเปิดเจ้า Google Maps ตั้งค่า AlpacaHill ได้เลยไม่มีทางหลง ส่วนคนที่ไม่มีรถส่วนตัวก็ไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่เขามีบริการรถรับ-ส่ง กรุงเทพไป AlpacaHill ด้วย! สุดยอดไปเลย ไปง่ายมาง่าย เพียงติดต่อ http://www.alpacahill.com เอาไว้ก่อนไป ก็สบายใจหายห่วง เมื่อคุณมีรถแล้ว การเดินทางก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เผลอ ๆ นั่งรถชมวิวจนหลับ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่ AlpacaHill แล้ว AlpacaHill เป็นฟาร์มเพาะอัลปาก้าแห่งแรกและแห่งเดียวในไทย แต่ถ้าทุกคนกำลังคิดว่าที่นี่จะมีแค่อัลปาก้านั้น คุณคิดผิด! เราบอกเลยว่าที่นี่เป็นเหมือนสวนสัตว์ เพราะมีทั้งนก กระต่าย เต่า และสัตว์อื่น ๆ ที่หายากเต็มไปหมดเลย และยังไม่พอนะ ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้คุณได้ทำอีกมากมาย ทั้งตามรอยเก็บตราปั๊มของที่เที่ยวแต่ละจุด เพื่อรับของที่ระลึก ถ่ายรูปกับบ้านฮอบบิท เดินเล่นในเขาวงกต ป้อนหญ้าให้แกะแบบไม่จำกัด และกิจกรรมอื่น ๆ ที่นับไม่ถ้วน บอกได้เลยว่าสนุกไม่มีเบื่อ สิ่งที่เหล่านักท่องเที่ยวต้องเตรียมก่อนจะมาที่นี่เลย คือ การจองคิว เพราะที่นี่เปิดรับนักท่องเที่ยววันละ 200 คนเท่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าเยี่ยมชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว ซึ่งการจองคิวนั้นก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เข้าไปที่ลิงก์นี้ http://www.alpacahill.com/admission/ ก็จะมีแพคเกจให้เลือกหลากหลายแบบตามความชื่นชอบ เมื่อจองเรียบร้อยแล้ว ก็เที่ยวได้อย่างสบายใจ หลังจากที่เราได้ทำการจองเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงเวลาเที่ยวจริง ๆ สักที โดยไปถึงก็จะมีวิทยากรอธิบายความเป็นมาของที่นี่ พร้อมแจกอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนที่เราทุกคนจะแยกย้ายไปดูสัตว์กัน ซึ่งก่อนจะเข้าไปชมสัตว์ได้ พวกเราต้องทำความสะอาดฆ่าเชื้อกัน และแน่นอนว่าทุกจุด เราจะเจอขวดแอลกอฮอล์รออยู่ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า เที่ยวชมกันได้อย่างสะอาดปลอดภัย เมื่อเดินเข้าไปเราก็ถ่ายรูปกันไม่หยุด แต่เสียดายมาก ที่ไม่ค่อยมีรูปน้อง ๆ ในสวนสัตว์เท่าไหร่ เพราะเน้นถ่ายรูปคู่กับแฟนมากกว่า เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก เต็มอิ่มกับทุกจุดที่ได้ไป ซึ่งแต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและอธิบายเรื่องราวของสัตว์แต่ละตัว ส่วนสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็เดินไปเดินมา บินไปบินมา ขวักไขว่ไปหมด แต่เชื่อเถอะว่าสัตว์ที่นี่น่ารักและมีอิสระในการอยู่มาก ๆ ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ โอบล้อมด้วยภูเขาลูกโต ภายใต้ท้องฟ้าที่สดใส อย่าว่าแต่สัตว์ที่อยู่ได้อย่างมีความสุขเลย แต่คนเที่ยวอย่างเราที่ปกติอยู่ในเมือง พอมาเจอบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากกลับ เอ้อ แล้วที่พลาดไม่ได้คือ อย่าลืมรับของที่ระลึกก่อนกลับนะ ข้างในถุงนั้นคือ ขนอัลปาก้า โดยความเชื่อของชนเผ่าอินคานั้นเชื่อว่า ขนอัลปาก้าจะนำมาซึ่งความโชคดี ฉะนั้นห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ท้ายสุดนี้ เราอาจจะไม่ได้เล่าเกี่ยวกับที่นี่มากนัก เพราะอยากให้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ฟาร์มอัลปาก้า แต่มีอะไรดี ๆ อีกมาก ที่รอให้คุณมาสัมผัสอยู่นะ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน