มนุษย์เราใช้แสงและเงาเป็นการละเล่นมานับพันปี ในดินแดนไทยเองก็มีการละเล่นเช่นนี้ คือ หนังตะลุงและหนังใหญ่ซึ่งมีมาแต่โบราณ หนังใหญ่ ถือเป็นมหรสพชั้นสูงของไทย เพราะรวมเอาศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน ตั้งแต่การแกะแผ่นหนังให้เป็นตัวละครอย่างวิจิตร นักแสดงก็ต้องฝึกฝนลีลาการเชิด และต้องอาศัยพละกำลังมาก เพราะตัวหนังมีขนาดใหญ่ ประกอบดนตรีปี่พาทย์ และการจัดแสงไฟให้ดูตระการตา การแสดงหนังใหญ่แต่ยุคก่อนจึงน่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะต้องจุดกองไฟขนาดใหญ่ไว้หลังฉากเพื่อให้เกิดเปลวแสงอันตระการตา ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้หนังใหญ่เสื่อมความนิยมลง และอาจสูญสิ้นไปได้ในอนาคต ที่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี ในปัจจุบันเป็นแหล่งเก็บรักษา และสืบสานภูมิปัญญาการแสดงหนังใหญ่ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งในประเทศไทย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงอุปถัมภ์ให้เกิด “พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน” ให้เป็นแหล่งเก็บรักษาตัวหนังโบราณ และแหล่งภูมิปัญญาดั้งเดิมของท้องถิ่น เพื่อการเรียนรู้สืบสานมหรสพโบราณนี้ การเก็บรวบรวมตัวหนังเริ่มตั้งแต่สมัยที่พระครูศรัทธาสุนทร หรือหลวงปู่กล่อม (พ.ศ.2391-2485) เป็นเจ้าอาวาสวัดขนอน จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดสร้างตัวหนังที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยมีอยู่เดิม ได้ใช้เชิดแสดงหลายครั้ง ต่อมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เก็บรักษาตัวหนังของเก่าเหล่านี้ไว้มากถึง 330 ชิ้น ภายในพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงตัวหนังในฉากต่าง ๆ ตัวหนังเป็นของเดิม โดยมีการบูรณะอย่างดี เพราะถือกันว่าตัวหนังนี้ “ มีครู ” บรรยากาศขรึมขลังภายในห้องจัดแสดง ชวนให้นึกถึงการใช้แสงเงา ที่เป็นหลักในการแสดงหนังใหญ่อยู่ไม่น้อย การเล่นหนังใหญ่มักเล่นเรื่องรามเกียรติ์เป็นหลัก ตัวหนังจึงแกะเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ โดยต้องแกะตัวหนังตามเนื้อเรื่องของตอนนั้น ๆ เป็นชุด ๆ ไป ได้แก่ ชุดหนุมานถวายแหวน ชุดศึกอินทรชิต เวทีที่เล่นมีขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องใช้พื้นที่สำหรับการเชิดตัวหนังใหญ่ที่ใหญ่สมชื่อ และผู้เชิดก็ต้องมีลีลาประหนึ่งเป็นตัวละครไปด้วย กองไฟที่ก่อโชติช่วงอยู่หลังฉากแลเห็นเป็นเปลวชัด ผู้เชิดหนังนั้นแสดงอยู่ด้านหน้าของฉากผ้าขาวมิได้อยู่หลังฉากเหมือนหนังตะลุง ประกอบมโหรีปี่พาทย์ที่เร้าใจ ตรึงผู้ชมให้ตื่นตาตื่นใจในมหรสพโบราณแต่ตระการตานัก ที่วัดขนอนยังมีการจัดแสดงตามโอกาสต่าง ๆ และมีงานประจำปีในช่วงวันที่ 13-14 เมษายนของทุกปี การเดินทางก็แสนง่ายโดยใช้ถนนเพชรเกษมเมื่อถึงแยกโพธาราม เลี้ยวเข้าไปถึงสี่แยกให้เลี้ยวขวา จากนั้นไม่ไกลนักจะมีสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ลงสะพานพบทางแยก ให้เลี้ยวขวาไปตามถนนสาย 3089 อีกไม่ไกลจะพบวัดขนอน พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมตั้งแต่เวลา 8.00 น. - 17.30 น. แสงเงาที่เราเห็นที่พิพิธภัณฑ์นี้ จึงไม่ใช่เพียงความสว่างหรือความมืด แต่คือ ภูมิปัญญาอันเป็นหัวใจของท้องถิ่นและผู้คนที่อยู่ในนั้นอย่างไม่มีวันสูญหาย( รูปทุกรูปโดย : วารุ วิชญรัฐ)