มหรสพหรือการแสดงนับได้ว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์เรารู้สึกผ่อนคลายกับชีวิตอันเคร่งเครียดจากการเรียนการทำงานและการบ้านการเมือง ซึ่งในแต่ละพื้นที่ของภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ล้วนมีการแสดงมหรสพที่เป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นของตน ซึ่งอาจเกิดจากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จนผสมกลมกลืนยากจะชี้ชัดว่ามหรสพใดเป็นของชาติใด เพราะมันกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม(ราก)ไปเสียแล้ว โดยครั้งนี้ผมอยากเสนอเรื่องราวของ “หนังใหญ่แห่งวัดขนอน” แต่เอ๊ะ ! หนังใหญ่ คืออะไร ? เพราะด้วยความที่เป็นเด็กชาวใต้ตัวดำ ๆ รู้จักเพียงตัวหนังตะลุงไอ้หนูนุ้ย ไอ้เท่ง ไอ้ยอดทอง ไอ้สะหม้อ ฯ ซึ่งมีขนาดรูปหนังที่เล็กกว่า ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่าหนังใหญ่ก็ย่อมแปลกใจเป็นเรื่องธรรมดา และบังเอิญเมื่อหลายปีก่อนได้มีโอกาสเดินทางไปยังจังหวัดราชบุรี จึงพอมีเวลาว่าง ๆ เดินทางไปยังบ่อแห่งความรู้เรื่องหนังใหญ่ ณ วัดขนอน อำเภอโพธาราม (เมืองแห่งคนสวย) จากหลักฐานตามเอกสารต่าง ๆ สันนิษฐานได้ว่าหนังใหญ่ปรากฏ (ในดินแดนไทย) มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ? แต่ทว่าหลักฐานที่เด่นชัดกลับปรากฏอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยา และต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง อิเหนา เพื่อใช้แสดงหนังใหญ่ จวบจนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มีสถานที่ทำหนังใหญ่ 2 แห่ง (ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง) ด้วยกัน คือ หนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี และหนังใหญ่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี การแสดงหนังใหญ่นิยมเล่นในตอนกลางคืน โดยมีอุปกรณ์และองค์ประกอบ ได้แก่ ตัวหนัง (พระอิศวร หนุมาน ยักษ์ ฯลฯ) ผู้เชิด คณะวงมโหรีปี่พาทย์ ผู้ร้อง ผู้พากย์ ซึ่งเนื้อเรื่องที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุด คือ รามเกียรติ์ เฉกเช่นเดียวกับการแสดงโขน ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามหรสพหนังใหญ่เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงที่อยู่คู่กับสังคมไทย (และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มาอย่างยาวนานหลายร้อยปี แม้จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติของพลวัตทางวัฒนธรรมที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพื่อเฝ้ารอให้ผู้คนในสังคมยุคหลังหันมาสนใจและมุ่งธำรงรักษาไว้เพื่อเป็นคลังความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในอนาคตวันข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน