ธรรมชาติที่เหลือน้อยลงทุกทีในสังคมเมืองป่าคอนกรีต ทำให้ชาวกรุงต่างค้นหาธรรมชาติใกล้พื้นที่แห่งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนสำหรับคนที่มีเวลาลาพักร้อนอันน้อยนิด แต่อยากพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอันเขียวขจี โดยไม่ต้องเดินทางไกล คงหนีไม่พ้น สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปอดสีเขียวใกล้กรุงเทพฯ หรือเรียกกันว่า คุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ เหตุที่เรียกว่าปอดกรุงเทพฯ เพราะว่าพื้นที่ส่วนนี้มีต้นไม้อยู่เยอะ มีธรรมชาติสมบูรณ์และเป็นพื้นที่ที่รับลมจากทางทะเลเข้ามาก่อนที่จะเข้าถึงกรุงเทพฯ ดังนั้นต้นไม้และธรรมชาติเหล่านี้จะทำการฟอกอากาศที่สดชื่นและส่งต่อไปยังกรุงเทพฯ หลักการทำงานแบบนี้จะคล้ายกับการทำงานของปอด ที่แห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า "ปอดกรุงเทพฯ" สถานที่ที่จะพาเราไปสัมผัสเสน่ห์ของธรรมชาติ ไปเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ฉ่ำปอด ไปเพื่อเพิ่มพลังให้กับชีวิต เพื่อการเริ่มต้นใหม่ในวันรุ่งขึ้น สำหรับการเดินทางไปเที่ยวคุ้งบางกระเจ้า ต้องบอกว่าไปกันได้อย่างง่าย ๆ สะดวกสบาย เพียงแค่นั่งรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานีบางนา แล้วเดินออกทางประตูทางออกหมายเลข 2 จากนั้นเรียกรถแท็กซี่ไปลงวัดบางนานอก ซึ่งค่าใช้จ่ายตามมิเตอร์ที่จ่ายไปเพียง 57 บาท หลังจากนั้นก็เดินมายังท่าเรือวัดบางนานอก เพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปยังท่าเรือวัดบางน้ำผึ้งนอก สำหรับค่าใช้จ่ายในการนั่งเรือข้ามฟากเพียงคนละ 4 บาท หรือ ถ้าใครนำรถจักรยานยนต์มาก็มีค่าข้ามฟากคันละ 10 บาทเท่านั้น จำได้ว่า เมื่อวานนี้ยังวุ่นวายอยู่กับงานมากมายก่ายกอง จนแทบจะเป็นบ้า แต่ตอนนี้บรรยากาศแบบนั้นจางหายไปหมด มันเงียบสงบจนน่าประหลาด ทั้ง ๆ ที่จากช่วงเวลานั้นจนถึงตอนนี้เวลาต่างกันเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น วันนี้อากาศเป็นใจ เมฆกระจายตัว เปิดทางให้แสงแดดส่องสว่าง เราจึงได้ยลโฉมทุกซอกทุกมุมของคุ้งบางกระเจ้าแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน เมืองที่สงบสุขมักดึงดูดผู้คนที่ต้องการหลบหนีจากความวุ่นวายรอบตัวให้มาพักพิง แต่ในบางคราวถ้าสงบเกินไป ก็ทำให้ดูจืดชืดไร้สีสัน เมืองสงบบางเมืองจึงมีการสร้างสรรค์ความสนุกเพื่อนำเสนอนักท่องเที่ยว ดังเช่นกิจกรรมการปั่นจักรยานชมคุ้งบางกระเจ้าแห่งนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสีสันที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อนั่งเรือมาถึงวัดบางน้ำผึ้งนอกก็จะพบร้านให้เช่าจักรยานจำนวนมาก แถมราคาก็ไม่แพงเพียงคันละ 50 บาท สามารถปั่นได้ตลอดทั้งวัน และที่สำคัญทางร้านจะแถมแผนที่เส้นทางการปั่นไปยังบางกระเจ้าให้แบบฟรี ๆ การขับขี่ยานพาหนะที่นี่ง่ายมาก อย่าได้กลัวหรือกังวลไป เพราะที่คุ้งบางกระเจ้ามีเลนเดินรถสำหรับให้นักท่องเที่ยวปั่นจักรยานโดยเฉพาะ การเดินทางเป็นไปอย่างสบายไม่เร่งรีบ เพราะความเร่งรีบในการดำเนินชีวิตไม่จำเป็นสำหรับที่นี่ การบีบอัดเวลาแบบนั้น ไม่ได้ทำให้เวลาในแต่ละวันของเราเหลือมากขึ้น แต่ความเชื่องช้าเรียบง่ายต่างหากที่ทำให้มวลของเวลาขยายตัวเพิ่มหลังจากที่เราปั่นมาได้ไม่ไกลนัก ก็มีกลิ่นหอมอบอวลของขนมไทยลอยมาชวนให้น่าลิ้มลองเป็นสัญญาณบอกว่าเราได้เดินทางมาถึงตลาดน้ำบางน้ำผึ้งเป็นที่เรียบร้อย สองฝั่งคลองรายล้อมด้วยสวนผลไม้ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสิ้นค้าได้มากมาย อาทิ ห่อหมกหมู ไก่สะเต๊ะ หอยทอด ขนมหม้อแกงและขนมตะโก้ เสน่ห์ของตลาดน้ำแห่งนี้ คือ วิถีชีวิตชาวบ้านริมคลองที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ และยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและอาหารที่มีชื่อเสียงของชุมชน ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง เปิดทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. เราเดินออกมาอย่างหน้าตาชื่นบาน สองแขนหิ้วถุงพะรุงพะรัง จนเดินตัวเอียงเพราะความหนักของผลไม้ในมือ หลังจากทานอาหารคาวเมื่อครู่แล้ว เราก็ปั่นจักรยานมาแวะทานของหวานต่อที่ร้านกาแฟในบ้าน ความพิเศษของร้านนี้คือชากับกาแฟจะใช้มะพร้าวปั่นผสมด้วย บรรยากาศในร้านจัดแบบเรียบง่าย มีโต๊ะเก้าอี้ไม้วางอยู่ห้าชุด ด้านในมีคนนั่งอยู่หนาแน่นแต่ก็ยังพอมีโต๊ะว่างอยู่สองโต๊ะ เราเดินตรงดิ่งไปที่ม้านั่ง ส่องหามุมที่ถูกใจ แล้วโพสท่าถ่ายรูปกันสุดฤทธิ์ นอกจากนี้ด้านหน้าร้านยังมีที่จอดสำหรับจักรยานอีกด้วย เมื่อเติมพลังทั้งของคาวและของหวานเรียบร้อย ก็ถึงเวลาปั่นเที่ยวกันอย่างจริงจัง จุดหมายของเราก็คือ สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งที่นี่ถือเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวเข้มขึ้นปกคลุมหนาแน่น เมื่อปั่นจักรยานมาถึงสวนศรีนครเขื่อนขันธ์ เราจะได้ชมพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดในสวนสาธารณะ ในแต่ละมุมของสวนศรีนครเขื่อนขันธ์จะมีป้ายบอกสายพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ เพื่อเป็นความรู้ให้แก่นักท่องเที่ยวและยังมีศาลาให้นั่งพักเหนื่อยกันด้วย จากนั้นเราก็เดินเข้าไปชมทะเลสาบน้ำจืดของที่นี่ ความเงียบสงบทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ สะกดนักท่องเที่ยวที่มาถึงก่อนหน้าเราให้นั่งนิ่งไม่ไหวติงไม่ต่างจากก้อนหินริมทะเลสาบ ทางเดินเข้าไปเป็นสะพานไม้ขนาบข้างไปกับถนนสายเล็ก ๆ รายล้อมด้วยต้นไม้หน้าตาโบราณ รกรุงรังไร้ระเบียบแต่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เราต้องค่อย ๆ เดินลงไปตามทางอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งเสียงรบกวนนักท่องเที่ยวคนอื่นที่กำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติ ทะเลสาบแห่งนี้มีปลาหลากหลายสายพันธุ์ และมีจำนวนมากพอสมควร ซึ่งเรายังสามารถให้อาหารปลาได้อีกด้วย นอกจากนี้ที่สวนศรีนครเขื่อนขันธ์แห่งนี้ยังมีหอชมวิวดูนก ที่มีความสูง 7 เมตร ตั้งอยู่ช่วงด้านหลังของสวน ทำให้มองภาพเบื้องหน้าสวยงามกว้างไกลสุดสายตา ด้านซ้ายและขวาเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่สลับซับซ้อนกัน ไกลออกไปจะเห็นบ้านเรือนเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมาถ่ายรูปบริเวณนี้เพราะเสมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าได้มาถึงบางกระเจ้าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเราก็เริ่มปั่นจักรยานอีกครั้ง ล้อหมุนมาจนถึงเส้นทางที่ถูกเรียกขานว่าเส้นทางมรกต เพราะมีการทาสีเขียวไปบนพื้นถนนดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ขณะปั่นไปก็รู้สึกได้สัมผัสกับลมเย็น ๆ มีรั้วกั้นให้ปั่นได้อย่างปลอดภัย บวกกับความสวยงามตลอดฝั่งคลองบางน้ำผึ้ง ที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มสบายตาตลอดสองข้างทาง เป็นอีกหนึ่งจุดที่นักปั่นทั้งหลายนิยมมาถ่ายรูปกันเป็นจำนวนไม่น้อย อากาศที่นี่ดีอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปเต็มไปด้วยพลังจากธรรมชาติ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นอกจากนี้ที่บางกระเจ้ายังมีกิจกรรมที่น่าสนใจที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดโดดเด็ดขาดนั่นคือ เรียนรู้การทำธูปหอมไล่ยุง การทำผ้ามัดย้อม และลูกประคบสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อที่ศูนย์ การเรียนรู้ชุมชนบางกระเจ้า ชาวบ้านที่นี่น่ารักและเป็นกันเอง หากคุณกำลังหลงทางก็อย่าได้กังวลไป เพียงสอบถามจากชาวบ้านแถวนั่น คุณก็จะได้คำตอบมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ ชีวิตเวียนวนอยู่กับสิ่งนี้ เราเดินทางจากป่าไม้แห่งหนึ่ง มายังป่าไม้อีกแห่ง แม้จะเป็นสิ่งเดิม ๆ แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะแต่ละแห่งก็มีองค์ประกอบส่วนผสมแตกต่างกันไป มันไม่ใช่สสารเชิงอินทรีย์ แต่เป็นปริมาณความรู้สึกที่ปะปนอยู่ในบรรยากาศรอบตัว การมองสิ่งรอบตัวที่สงบสวยงามทำให้ความว้าวุ่นในใจลดน้อยลงไป จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนหนีความวุ่นวายในเมืองกรุงมายังที่แห่งนี้ โลกหมุนรอบตัวเองจนเหวี่ยงดวงอาทิตย์ให้กระเด็นไปทางทิศตะวันตก ตะวันทอแสงอ่อน ๆ แทนการบอกเวลาจากนาฬิกาข้อมือเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของวันนี้กำลังจะหมดลง น่าแปลกที่คนเราอยู่ดีไม่ว่าดี หนีความสบายมาเผชิญความลำบาก ความลำบากที่ว่าไม่ได้สาหัสเจียนตาย เพราะมันแค่ลำบากกายที่ต้องปั่นจักรยานไกล ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุเพียงเท่านั้น ความลำบากจะกระตุ้นให้พลังกายพลังใจที่หลับใหลในตัวตื่นขึ้นมา เป็นการปลุกชีวิตให้คึกคักไม่ปล่อยให้อืดอาดลงพุง และเมื่อพลังเช่นนั้นเกิดขึ้น เราก็จะกระปรี้กระเปร่ามีเรี่ยวแรง พร้อมดำเนินชีวิตต่อไป