ปรับตัวยากมากกกกกกกกกกกกกกก อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ว่ามันยากมาก นี่คิดว่าตัวเองผ่านค่ายลูกเสือกับค่ายอาสามาเยอะมากแล้วนะ ก่อนมาเราก็คิดว่าเราเป็นคนที่ปรับตัวง่ายมากพอสมควรแล้วนะ สรุปอิมิ้นท์โป๊ะแตกจ้า ยากมากจริงๆคือวัฒนธรรมเค้าต่างจากเรามาก แต่เรื่องการปรับตัวเรื่องนี่ก็ต้องโทษตัวเราเองด้วยที่ว่าปรับตัวได้ช้า มันมีเรื่องภาษาพูด ภาษากาย วัฒนธรรม ที่ทำให้ช่วงแรกๆเราอึดอัด ทุกครั้งที่มีอะไร Non-Sense คนอินเดียก็จะบอกว่า ก็นี่มันวัฒนธรรมบ้านฉันไง ฉันไม่เปลี่ยน (เหตุการณ์นี้คือการอยู่ร่วมกับ Room Mate นะคะ) และ เรามีความรู้สึกว่า เราใช้ชีวิตยากในเรื่องภาษา เพราะบางร้านค้าไม่ค่อยมีคนพูดภาษาอังกฤษได้ จะมีก็เด็กนักเรียนกับคนวัยทำงานที่พูดคล่องปร๋อ สรุปเด็กไทยที่นี่ฟังฮินดีไม่เข้าใจแต่สัมผัสได้ว่าเขาพูดอะไร 5555 เออ ออ กันไปสนุกสนาน และผู้หญิงอินเดีย พอเวลาพูดด้วยชอบเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ แทบจะจูบเราแล้วจ้าหรือบางทีเดินๆในตลาด มีมือใครไม่รู้มาโดนตูดโดนหลัง หันไปไม่เคยเจอเป็นผู้ชายเลย มีแต่ป้าที่ชอบเอามือดันตัวเรา แล้วเราคิดว่าเขามาลวนลาม555 และอีกเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากก ถ้าใครเอาชีวิตไปผูกกับเซเว่นแบบเรานี่ จะอยู่ที่อินเดียยาก แบบยากมาก เพราะเราเป็นคนหิวบ่อย ชอบกินน้ำโกโก้เย็นใส่น้ำแข็งแบบฉบับไทย ที่นี่นอกจากจะไม่มีโกโก้ใส่น้ำแข็งแล้ว ร้านค้าทั่วไปปิดสามทุ่มครึ่งจ้า ไม่มี 24 ชั่วโมงด้วยนะ พอเวลาเราอยากได้อะไรสักอย่างต้องแพลนเลยว่าอันนี้ซื้อที่นี่นะ ร้านนี้ ในห้างไม่มี Supermarket นะ และใน Supermarket ก็ไม่ได้มีสากกะเบือยันเรือรบแบบเซเว่นบ้านเรานะ อย่างเช่นเสื้อผ้า เรื่องนี้มีคนสงสัยมาค่อนโลกอะว่า ทำไมเราใส่ขาสั้นโชว์ขาไม่ได้ แต่เสื้ออินเดียนี่สั้นคว้านจนเห็นหลังไปครึ่ง ความจริงสมัยนี้แล้ว มันใส่ได้นะคะ แต่พอเราใส่แล้วเดินไปข้างนอก แน่นอน ส่วนหนึ่งมาจากเราเป็นต่างชาติ เค้าจะจ้องมอง ทำให้เราอึดอัดมาก แต่ก็มีคนบอกว่าคนประเทศเขายังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น ส่วนมากยังอนุรักษ์การใส่เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม การมีคนใส่ขาสั้นในพื้นที่ชุมชน ใส่ได้แต่ต้องเซฟตัวเองให้มากที่สุด เพราะเราเป็นต่างชาติและเป็นผู้หญิง และเมื่อไหร่ก็ตามถ้าเราไปต่างเมืองที่นักท่องเที่ยวน้อยๆ ฝันไปเถอะค่ะว่าจะได้เดินดูสถานที่ท่องเที่ยวแบบคนปกติ จะมีแต่คนขอถ่ายรูปแบบ เรานึกว่าเราเป็นอั้ม พัชราภา อะเธอ ทั้งๆที่หนังหน้าเหมือนเป็นตาปลาพี่อั้ม คือเราไม่สวยแบบไม่สวยจริงๆ ยังงงว่าจะถ่ายไปทำไม จนได้ข้อสรุปว่า คนอินเดียชอบถ่ายรูปมาก แล้วชอบโชว์ในโลกSocial ว่าอิมิ้นท์เด็กไทยคนนี้ได้เป็นเพื่อนกับพวกเขาเรียบร้อยแล้วจ้า เรื่องที่สอง อาหาร มิ้นท์พักอยู่ที่หอพักใน Collage ดังนั้น อาหารทั้งหมด 80% จะเป็นอาหารอินเดีย แล้วคนอินเดีย 90% ใน Hostel เป็น Vegetarian นั่นไง ปัญหาบังเกิดไปเลยจ้า เพราะทุกมื้ออาหารจะมีสารพัดประเภทแกงถั่วทุกมื้อจะแกงเหมือนๆกันเปลี่ยนแค่ชนิดถั่ว แรกๆคือกินข้าวแต่ละมื้อไม่อยู่ท้องเลยสักครั้ง ลองกินกับจาปาตี หรือโรตี อย่างมากก็แค่อิ่มหลังกินข้าว พอหลังจากนั้น ไม่นานก็จะเริ่มหิวใหม่อีกรอบ บอกเลยว่าใครเคยบ่นว่าประเทศไทยมีบัตรประชาชนแบบ Smartcard แต่ไม่ Smart เพราะทำอะไรไม่ได้เลยเหมือนอากาศธาตุ ไม่ต้องห่วงค่ะ มาอยู่อินเดียแล้วจะรู้ว่าอะไรก็แล้วแต่ก็ทำให้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าคุณจะมี Internet ในมือ มี Application ที่สะดวกสบาย อินเดียไม่ใช้นะจ้า ทำใจให้เยอะๆก่อนมา ที่นี่เป็นระบบ Manual กับการทำเอกสารทางราชการหรือเอกสารอะไรทั้งหลายแหล่บนโลกใบนี้ กรอกแล้วกรอกอีก กรอกจนหมึกหมด กรอกจนคิดว่าเห้ยตัวเลขบนแบงค์ตอนเราจ่ายตังจะกรอกทำไมวะน่ะ เป็นเรื่องที่โคตรหงุดหงิดเลยค่ะคุณ (ถ้าเป็นเรื่องการใช้บัตรจ่ายเงินแทนเงินสด อันนี้ยอมรับจริงๆว่าเขาล้ำกว่าไทย เพราะส่วนใหญ่ในเมืองก็สามารถรูดบัตรได้แทบทุกร้าน) ทุกครั้งที่มีการทำเอกสารทางราชการ ทุกชนชาติก็จะมีเรื่องวีนแตกเสมอๆ เช่น เราต้องไปทำเอกสารที่ FRRO แต่เราต้องขอเอกสารจากทาง Collage เราก่อน ขั้นตอนการขอเหมือนเราขอจากสลอตเลยล่ะจ้า เริ่มจาก ต้องเดินขอให้คนนู้นเซ็นต์รับรองก่อนนะจ้า แล้วค่อยมาคนนี้ อ่าวคนนี้ไม่ว่างอีก งั้นมาพรุ่งนี้นะจ้า พอมาพรุ่งนี้ แปปนะจ้าเราคุยโทรศัพท์อยู่จ้า ขอตอบ WhatsApp แปปนึงนะจ้า เป็นกันหมดทุกออฟฟิศจริงๆค่ะเรื่องให้ความสำคัญเราน้อยกว่าตัวเอง สถานที่ราชการก็เป็น ชอบตอบอะไรในโทรศัพท์ก่อน คิวยาวๆก็รอไปเถอะค่ะ อยากให้มาเจอสถานที่ราชการที่นี่ เรียงต่อคิวกันยาวเหมือนคนไทยที่รอต่อวีซ่าไปอเมริกาเลย คดเคี้ยวเป็นงู บทจะไฟดับก็ไล่ให้มาอีกวันหนึ่ง แล้วที่นี่แปลกมาค่ะคุณ สถานที่ราชการเปิด 10.00 น. พักเบรกบ่าย 2.00-3.00 น. และทำงานกันถึง 5.00 น. มันเป็นเวลาเรียน ซึ่งถ้าจะมาทำเอกสารต้องโดดเรียนมาเพราะมันไกลมากใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ขี่รถไปไฟดับอะขี่กลับจ้า จนมีนักเรียนหลายคนต้องวีน เราต้องไฟท์ เราต้องไม่ยอม พอเราเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ มันจะเจอการแซงคิวแล้วทำให้ความหงุดหงิดเราเป็นทวี มาที่นี่ไม่ต้องห่วงคิวนะคะ โดนพรากทุกงานจนชาชินในหัวใจไปเลย ถึงแม้ว่าหลังจากที่เราดำเนินการอะไรเสร็จประมาณ 6 เดือน อินเดียก็มีการพัฒนาให้ Register ใน Website ได้ ก็สะดวกในระดับเดียว จี้ดเดียวเท่านั้น 5555 แต่เชื่อไหมว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ดำเนินการทุกอย่างค่อนข้างง่ายในระดับหนึ่งถ้าเทียบกับประเทศจีน เพราะเป็นประเทศที่มีปัญหาระหว่างรัฐบาลมาตั้งแต่กาลก่อนยันปัจจุบัน ทำให้คนจีนได้วีซ่ายากมาก ดำเนินอะไรยากมาก แต่ไม่ช้าไม่นานไทยอาจจะเป็นแบบจีนก็ได้นะคะ เพราะสาวไทยเข้ามาขายบริการเยอะมาก เท่าที่เคยคุยกับคนไทยในต่างแดน ก็เจอปัญหานี้เกือบจะทุกประเทศ เราไม่ได้อายที่เราเป็นคนไทย แต่เราอายทุกครั้งที่มีคนมาพูดว่าชอบสาวพัทยามาก (เพราะแหล่งท่องเที่ยวที่คนอินเดียไปก็คือพัทยา) เรื่องการทำเอกสารแล้วยุ่งยาก เราเคยถามกับรองผู้อำนวยการที่นี่ เขาบอกว่าป้องกันเหตุอาชญากรรม เพราะประเทศอินเดียมีกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาและก่อเหตุเมื่อหลายปีก่อน ทำให้หลังจากนั้นมา ประเทศเค้าป้องกันทุกอย่างเข้มงวดมากๆ แต่เราตอบเขาไปว่าคุณป้องกันโดยใช้ระบบแมนนวลนี่นะ? เขาตอบว่าใช่ มันป้องกันได้ดีกว่าระบบอินเตอร์เน็ต ส่วนตัวเราไม่เชื่อนะ จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เพราะคิดว่าอินเดียเป็นผู้นำเรื่องการศึกษาด้านเทคโนโลยี แต่เขาไม่พัฒนาส่วนนี้ในประเทศเลย คนที่จบมาก็ไปพัฒนาให้ต่างประเทศเสียหมด แต่ประเทศเขายังไม่กล้าที่จะรองรับเทคโนโลยีที่ตัวเองผลิตมาเลย คุณเชื่อไหมว่า ทุกครั้งของการทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องใช้รูปเยอะมาก เอกสาร Copy เยอะมาก ที่อินเดียจะมีร้านถ่ายเอกสารทุกหัวมุมเลยทีเดียว เพราะจะทำอะไรก็ต้องถ่ายสำเนา เรื่องพวกนี้เราจะเจอได้ก็ตอนที่ภาย 14 วัน Register นะจ้า หลังจากนั้นก็ไม่เจอละ เหตุการณ์เงียบสงบ เหมือนทอนาโดได้ผ่านพัดไป เหลือแต่ซากเรือไม้ที่ตายอยู่ข้างโขดหิน ก็คือดิฉันเองค่ะ 555555 แต่เด็กนักเรียนที่มาเรียนภาษาแล้วจะต่อวีซ่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ก็จะโดนลูกเล่นเยอะหน่อย ตรงที่ไม่ได้วีซ่าสักที รอจนใกล้วันหมดอายุวีซ่าของวันที่ขอไปเลยทีเดียว คือมันได้ช้ามาก เรื่องนี่ก็เป็นเรื่องภายในที่เขียนไม่ได้แต่คิดว่าทุกคนที่อ่านคงเดาออกนะคะว่าเจ้าหน้าที่ต้องการอะไร ดังนั้น คำนำของเราที่บอกว่าเรียนที่ไหนบนโลกไม่จำเป็นต้องใช้ Agency พอมาเห็นเพื่อนๆที่ขอวีซ่าแล้วมีปัญหากัน เราเลยคิดว่า ถ้ามีตังแล้วคิดว่าตัวเองไหว ก็ไป Agency แต่ถ้าไม่มีก็ปวดหัวนิดๆหน่อยๆสองสามเดือนเป็นสีสันให้แก่ชีวิต พอผ่านมาได้ ก็ไปสมัครองค์การนาซ่าทำวิจัยเรื่องเวลาของโลกคนอินเดียได้เลยค่ะว่าเจอมิติเวลาใหม่แล้ว นี่แหละ Slow life ที่แท้ทรู ถัดมาเรื่องระบบโทรศัพท์ และสัญญาณ Internet อย่างแรกเลยคือการซื้อซิมมือถือที่นี่ สามารถซื้อได้หลังจาก Register อะไรและได้รับเอกสารจากทางราชการครบแล้ว เราก็ใช้เอกสารไปยื่นขอซื้อซิมที่ร้านได้เลย ซึ่งอยู่ที่นี่จะปีหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้เลยค่ะว่าสัญญาณค่ายไหนดีที่สุด ถ้าเรื่องราคามันจะเท่าๆกันไม่แตกต่าง โทรฟรี SMS ฟรีไม่อั้น แต่ละแพคเกจก็ถูกมากๆ สามเดือน 500 รูปี เน็ต 2GB ต่อวัน ตอนแรกคือมันดีมากเพราะเราตัดสินจากราคาเราเลยคิดว่า อินเดียก็ไม่เลวแหะ สัญญาณเต็มขีดเลย พอเสียบซิมเข้ามือถือเดินพ้นประตูแล้วเข้าห้องปุ้ป No signal จ้า และมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดที่เราเข้าตึกใหญ่ เข้าห้องที่มีกำแพง หรือไปบางทีที่สัญญาณมันเข้าไม่ถึงเลย วิธีการคุยโทรศัพท์คือต้องวิ่งไปหาที่ที่มีสัญญาณทุกครั้งที่เพื่อน Messages มาบอกว่าจะโทรมาหานะ เรื่องนี้เราปรับตัวเรายากมากเหมือนกัน เพราะขนาดอยู่ในห้าง ที่คิดว่าคนมันไม่ได้เยอะแบบที่ไทย สัญญาณขึ้นโชว์เต็มขีดแต่ไม่สามารถเล่นอะไรได้เพราะถือว่าเป็นพื้นที่คนใช้เครือข่ายนั้นๆเยอะ มันเป็นอะไรที่ยากลำบากกับการใช้ชีวิตมากค่ะ ตามคาเฟ่ ร้านอาหาร ย้ำนะคะว่าแค่บางแห่งเท่านั้นที่มี Free Wifi ต้องเป็นแบรนด์สากลที่มีให้เช่น Starbucks หรือ Mister Donut อะไรแบบนี้ ถึงแม้ว่าที่ประเทศไทยของเราจะมีค่าใช้จ่ายเรื่อง Internet แต่ละเดือนสูงมาก แต่บางทีมันก็แลกกับความสะดวกสบาย และความรวดเร็ว เราว่ามันก็คุ้มนะ เราอยู่อินเดียกับการใช้สัญญาณแบบนี้มามันเหมือนชีวิตเราขึ้นอยู่กับดวงแท้ๆ วันไหนดวงดีเล่นได้เร็ว สามารถเรียกรถกลับบ้านได้ วันไหน No signal ก็นอนรอความตายไปเลย 55555555555