เป็นในหนึ่งวันที่คิดว่ามีความสุขที่สุด ตั้งแต่อยู่อินเดียมาเพราะเป็นเทศกาลที่ครอบครัวอบอุ่นมาก และจู่ๆเราก็ได้เป็นหนึ่งในครอบครัวคนอินเดียที่ร่วมประกอบพิธีด้วย ในวันคล้ายวันประสูติ คเณศจตุรถีนี้ ตามตำนาน เป็นวันที่องค์พระพิฆเนศจะเสด็จมาสู่โลกมนุษย์เพื่อ ประทานพรให้กับผู้ที่สักการบูชา โดยระยะเวลาจะเป็นเวลา13 วันและเสด็จกลับ งานก็จะมีไฮไลท์คือวันแรกและวันสุดท้าย โดยก่อนวันงานจะมีการปั้นเทพเจ้าจำลองใหญ่มากตามหัวมุมถนนทุกหัวมุม ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปั้นใหม่ เพราะก็มีทุกปีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ใช้รูปปั้นเดิมที่เคยใช้ปีก่อนๆ ก็ได้ความมาว่า แต่เดิมในสมัยก่อนมีการหล่อรูปปั้นด้วยปูน ขั้นตอนสุดท้ายของประเพณีนี้คือต้องทำรูปปั้นไปลอยในแม่น้ำเพื่อเป็นการส่งพระพิฆเนศกลับสู่บ้านของท่าน ไม่กี่ปีมานี้รัฐบาลเข้มงวดกับกฎการรักษาสิ่งแวดล้อมมากๆ ถึงขนาดแบนการใช้พลาสติกในบางรัฐแบบจริงจังมาก และได้ผลอย่างรวดเร็ว งานประเพณีก็เช่นกัน ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการหล่อรูปปั้นด้วยปูนมาเป็นทำจากถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบหลัก หลังจากนั้นก็ประดับด้วยเครื่องประดับและทาสีเหมือนรูปปั้นจริงมากๆ เราแยกไม่ออกเลย ทำออกมางดงามมาก วันแรกที่พิธีเริ่มคือมีกลุ่มนักดนตรีตีกลองที่วัดเพื่อเป็นการอันเชิญและเฉลิมฉลองท่านลงมาสู่บนโลก ในวันสุดท้าย เราได้เดินทางไปอย่างมั่วๆเพราะไม่รู้เลยว่างานพิธีเป็นอย่างไร เราไปกับพี่ขิม เป็นพี่คนไทยที่อยู่ข้างห้อง วันนั้นเราลงจากรถแถวๆสะพานประมาณบ่ายสอง แล้วก็มองบนถนนว่าเอ้อ คนเยอะดีจังเลย ดูคึกครื้น มีเสียงดนตรี เสียงตะโกนของผู้คนที่กำลังเดินอยู่ เราสองคนก็เกิดความสงสัยและไม่รู้จะเริ่มอะไรกันยังไง ก็เลยคิดว่าเอาวะ เดินตามครอบครัวนี้เลยละกัน ส่งเสียงดังดี555555 เราก็เลยเดินเข้าไปในวงนั้นเลยจ้า ผลปรากฏคือครอบครัวเค้าน่ารักแบบน่ารักมาก บอกได้เลยว่ารักอินเดียมากก็เพราะเหตุการณ์นี้เลยจริงๆ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ใหญ่เพราะวันนี้เป็นวันรวมญาติเขาต้องมารวมตัวกัน และทุกคนในครอบครัวหวานชื่นมาก หวานจนอิจฉา เพราะขนาดแกแก่เป็นตาเป็นยายยังคุยหยอกล้อกัน จับมือกันน่ารักมาก เขาพาเราเข้าไปในวงแล้วก็ส่งเสียงเฮดีใจกันใหญ่ จากนั้นบอกให้เราเดินไปกับขบวนเขาเลย จุดแรกที่ไปคือเป็นวัดเล็กๆ ได้มีการนำถาดที่มีตะเกียงไฟมาวนด้านหน้าเทพเจ้า และส่งเสียง “Mo di ya” ประมาณว่าเดินทางปลอดภัย เมื่อทุกคนทำความเคารพเทพเจ้ากันครบ ก็จะมีคนแบ่งขนมมงคลให้กิน หน้าตาขนมเหมือนขนมไหว้เจ้าประเทศจีนเด้ะๆ อร่อยดีค่ะ มีลุงคนหนึ่งแกคงเอ็นดูเรามาก แกป้อนขนมให้ แฟนแกก็ยืนหัวเราะชอบใจตรงนั้นแหละ พอปากเราเลอะก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากให้5555 แกน่ารักมาก กินขนมมงคลเสร็จเราได้เดินทางไปที่แม่น้ำ แต่ละครอบครัวได้นำรูปปั้นที่บ้านตัวเองมีมาจุ่มน้ำในแม่น้ำที่นี่ เพราะแม่น้ำสายใหญ่เส้นหลักนี้ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ปีนี้รัฐบาลทำดีมาก เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน เค้าจึงทำคล้ายๆสระว่ายน้ำยางแต่ขนาดใหญ่มาก ให้คนได้นำรูปปั้นไปจุ่มน้ำในแม่น้ำนั้นได้โดยที่ไม่ต้องเดินลงไปในแม่น้ำ จากนั้นเราก็คิดว่าเสร็จแล้ว แต่คุณลุงที่เช็ดปากให้เดินมาบอกว่าจะพาไปวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่นี่ไหม เดี๋ยวแกพาไป เพราะครอบครัวก็จะไปไหว้พระพิฆเนศเป็นที่สุดท้ายที่นั้น เราก็ตามน้ำเลยค่ะ เขาไปเราไปเพราะไม่มีแพลนเลย สรุปไปถึงวัดนั้น เป็นวัดที่เราได้แต่มองผ่านกระจกด้านนอกเข้าไปด้านใน เพราะคนยืนรอต่อคิวเข้าไปไหว้ยาวมาก ด้านหน้าถนนคือมีแต่คนขอให้เดินผ่านและมองผ่านกระจกเข้าไปได้เค้าก็ดีใจแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นวัดดังมากในปูเณ่ อยู่ละแวกแม่น้ำนั้นแหละ จู่ๆลุงก็บอกว่า ฉันรู้จักคนที่นี่ เลยให้สิทธิพิเศษเรากับพี่เข้าไปด้านในที่คนปกติห้ามเข้า เป็นที่สำหรับนักบวชได้อยู่ใกล้ชิดกับพระพิฆเนศ เรานี่แบบดีใจมาก เพราะอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นsurprise และเป็นเรื่องที่ดีเหนือความคาดหมาย มันมักเป็นเรื่องที่เราประทับใจมาก เราเข้าไปในนั้น ได้ไปใกล้ๆพระพิฆเนศองค์ที่โด่งดังมากสวยงดงามมากๆเลยด้วย มีนักบวชมาให้พรและมอบมะพร้าวกับผ้ายันต์ลายพระพิฆเนศให้ เราแบบ อิ่มกับความรักที่ครอบครัวนี้มอบให้มาก น่ารักเป็นที่สุด จากนั้นเราได้แยกย้ายกันเพราะเราอยากไปเดินในงาน ส่วนทางบ้านนั้นบอกว่าพวกนางเดินกันมาทุกปีแล้ว คนเยอะเกินไป จะมีอะไรให้ดูอีกทีก็ประมาณหกโมงเป็นต้นไป ซึ่งตอนนั้นเพิ่งจะบ่ายสี่ เราก็เลยเดินมั่วๆไปเรื่อยๆ คราวนี้เราก็เจอกลุ่มนักตีกลองทุกหัวมุม ทุกเส้นถนน ที่นี่จะโชว์รัวกลอง Indian style มันส์มาก แต่ละวงก็จะตีแข่งกัน พอเริ่มเดินก็จะจุดประทัดทุกๆ10 ก้าว คือเสียงมันดังมาก ตกใจตลอดเวลาจนรำคานตัวเอง ขบวนตีกลองก็จะตีรัวๆไปตั้งแต่6 โมงเย็นไปยันดึกเลยค่ะ เป็นงานที่ประทับใจทั้งครอบครัวคนอินเดียที่สุดและมีความสุขมากที่สุดที่เคยอยู่อินเดียมา ข้อระวังของงานนี้คือ คนเยอะมากๆ แล้วคนไทยที่ไปงานนี้เขาเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่เดินฝ่าฝูงชนจะไปดูขบวนกลองด้านใน จู่ๆมีมือผู้ชายจากไหนไม่รู้มาจับหน้าอกเขา วันนั้นเราเองไม่โดนลวนลามอะไรนะคะเพราะว่าพอเห็นฝูงชนคนเดินเยอะๆ เราก็ไม่กล้าเดินเข้าไปในกลุ่มแล้วค่ะ เลี่ยงได้เลี่ยงออกดีกว่า