ในเช้าวันหนึ่งที่แสนจะสดใส บางครั้งการได้เอาร่างกายของเราออกไปปะทะกับลม ขณะนั่งบนจักรยานคันใหญ่ สองขาออกแรงปั่นไปพลางมองชื่นชมธรรมชาติ และอิ่มเอมกับบรรยากาศรอบ ๆ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด ไร้ความกังวลว่าจะต้องเผชิญกับสารพิษหรือฝุ่นควันที่อันตราย เพราะบัดนี้เบื่องหน้าของเราได้อยู่ท่ามกลางปอดของกรุงเทพ ฯ แล้ว ใช่แล้วครับ วันนี้ใรฐานะชาวสมุทรปราการ เราเองอยากจะเสนอการท่องเที่ยวแบบ Eco สุด ๆ หวังว่าจะถูกใจสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันว่าโลกเรา เราต้องรักษ์ เริ่มต้นการเดินทางด้วยการข้ามเรือข้ามฟาก โดยเดินทางไปที่ท่าเรือข้ามฟากวัดบางนานอก (การเดินทางโดยขนส่งมวลชนที่สะดวกที่สุดคือ นั่งบีทีเอสมาลงที่สถานีบางนา จากนั้นต่อรถสองแถวสีแดงมาลงที่ท่าน้ำได้เลยครับ) ค่าโดยสารเรือข้ามฟากก็ตกอยู่ที่คนละ 6 บาทเท่านั้น หรือหากใครนำจักรยานหรือมอเตอร์ไซด์มาเองก็สามารถนำขึ้นเรือไปขี่ที่ฝั่งตรงข้ามได้ บรรยากาศขณะนั่งเรือเป็นไปด้วยความตื่นตา ตื่นใจ เพราะตอนนี้เราได้อยู่ท่ามกลางผืนน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำสายสำคัญอย่างเจ้าพระยาและปากอ่าวไทย นั่นทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะได้พบเห็นเรือขนส่งสินค้าลำโต ที่มุ่งหน้าไปสู่ท่าเรือคลองเตย สักครู่เดียวเท่านั้นก็ถึงฝั่งฝัน โดยผ่านแม่น้ำที่ขวางกันระหว่างความวุ่นวายของเมืองใหญ่และความสงบนิ่งของธรรมชาติ เมื่อเท้าแตะแผ่นดินอีกฟากจะทำให้ได้พบกับสิ่งแรก นั่นคือความสิริมงคลอย่างวัดบางน้ำผึ้งนอกที่รออยู่เบื้องหน้า สำหรับใครที่ต้องการจะแวะทำบุญ ไหว้พระ ก็ทำได้ตามอัธยาศัย ก่อนที่จะออกเที่ยวนั้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไปเสียไม่ได้สำหรับทริปนี้ ก็คือพาหนะสุดคูลอย่าง จักรยาน ที่มีร้านให้เลือกเช่ามากมาย แต่เราได้มาลงเอยกับร้านคุณลุงจวบ คุณลุงที่แสนจะใจดีแห่งบางน้ำผึ้งของเรา โดยค่าเช่าอยู่ที่ 50 บาทปั่นได้ทั้งวัน และที่น่าประทับใจมากคือลุงจะให้น้ำดื่มเย็นๆ ไปด้วย 1 ขวด และตอนเย็นเมื่อนำรถมาคืน ก็จะได้ดื่มน้ำมะพร้าวน้ำหอมแบบเย็นจัดหอมหวานจากสวน เมื่อเริ่มปั่นออกมาสักพักก็จะผ่านหมู่บ้าน สวน ไร่ต่างๆ ของชาวบ้าน สังเกตได้ว่าถนนที่ฝั่งนี้นั้นทำดีมาก และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเลนจักรยาน ซึ่งอำนวยความสะดวกและเอื้ออำนวยต่อความเพลิดเพลินในการปั่นเป็นอย่างดี และหากใครท้องร้องแล้วก็ไม่ต้องกังวล กองทัพจะเดินด้วยท้อง และของอร่อยก็รอเราอยู่เช่นกัน เราหยุดแวะที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ภายนอกดูเก่า แต่เราอยากเรียกว่าย้อนยุคมากกว่า เพราะภายในนั้นน่ารักและอบอุ่นเหลือเกิน ข้าวของเครื่องใช้ที่แขวนประดับลงบนแผ่นไม้สีเก่าๆ ทำให้หวนนึกถึงภาพในหนังจากทีวีขาว-ดำได้เลยทีเดียว ในส่วนของอาหารก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย ข้าวกะเพราหอมๆ ในราคา 35 บาทเท่านั้นเอง ความสนุกนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ของจริงกำลังจะเริ่มขึ้นเมื่อเราปั่นเข้าสู่เลนสำหรับปั่นจักรยานโดยเฉพาะ ซึ่งสองข้างทางนั้นก็อุดมไปด้วยธรรมชาติของระบบนิเวศแบบป่าชายเลน ต้นจาก ลำพูน และพืชน้ำกร่อยมากมาย เสริมบรรยากาศที่เขียวชะอุ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างไอทะเลให้อบอวลเต็มปอด ทางน้ำที่ขนานไปกับทางจักรยานเปรียบได้กับเลนว่างอีกช่องหนึ่ง ที่รอให้ปลามาว่ายน้ำแข่งกับจักรยานของเราเลย หากใครจะปั่นเพลิน ๆ แบบเต็มพลัง คุณสามารถปั่นไปได้ไกลออกไปอีกสัก 7-8 กิโลเมตร (มีข้อระวังเรื่องการจราจรที่จะมีรถยนต์มากขึ้น และแรงขาของคุณควรมีเหลือเพียงพอที่จะปั่นกลับด้วยนะ) ก็จะไปบรรจบกับฝั่งพระปะแดงได้ โดยใช้ทางข้ามฟากบริเวณวงแหวนอุตสาหกรรม (บริเวณจุดนี้ปั่นข้ามไปได้เลย ไม่ต้องนั่งเรืออีก) หากข้ามมาฝั่งพระปะแดงแล้ว สถานที่สำคัญที่ใกล้ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นวัดมอญเก่าแก่อย่างวัดทรงธรรม (ที่ได้เล่าเอาไว้ใน Ep.1) หากใครตั้งใจอยากจะไปชมความแตกต่างระหว่างวัดไทยและมอญ ก็สามารถไปเที่ยวชมความสวยงามที่มีประวัติอันยาวนานนี้กันได้นะครับ มาถึงช่วงเย็นแล้ว ขาเรายังคงปั่นต่อไป ถึงแม้จะเมื้อยล้าไปบ้าง แต่ภาพความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตยังคงตราตรีงในใจ และกินไอของธรรมชาติก็ยังคงอบอวลและเป็นแรงให้เรากลับไปยังจุดเริ่มต้นได้สำเร็จ ในที่่สุดน้ำมะพร้าวเย็น ๆ จากลุงจวบเปรียบเสมือนรางวัลแห่งชีวืตเลยก็ว่าได้ มันไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้วที่จะดับความเมื่อยล้าในการฟันฝ่าระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตรนี้ลงได้ สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้เอาไว้ ให้ทุกคนออกไปลองสัมผัสกันดูบ้าง เพราะนอกจากมันจะไม่ทำลายธรรมชาติแล้ว มันช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรงและจิตใจของคุณจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน โปรดติดตามตอนต่อไป