“พี่เคยไปอัมพวาหรือยังครับ” ผมถามเฟือง ผู้เป็นทั้งลูกค้า VIP และเพื่อนชาวเวียดนามในสายงานท่องเที่ยว ขณะถกกันว่าเราจะไปไหนดีวันพรุ่งนี้ “ยังเลย คืออะไรหรอ” เธอถามกลับ ไม่น่าเชื่อว่าสำหรับเฟืองที่มาเที่ยวไทยหลายครั้งจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเธอก็ว่าได้ จะยังไม่เคยมาอัมพวา ทำให้ผมตระหนักได้ว่า อัมพวาอาจจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวชาวยุโรปสักเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็ตลาดสเปนที่เธอทำงานด้วย “โอเค งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปอัมพวากันนะครับ” ผมชวน จากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ เราจึงมุ่งหน้าสู่อัมพวา อัมพวา เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ถ้าพูดถึงที่นี่ เชื่อว่าหลายๆคนคงนึกถึงตลาดน้ำ และชุมชนริมคลอง แต่ต้องบอกว่า ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เฉพาะตลาดน้ำครับ เราคงถึงเร็วและใช้เวลาในตลาดได้นานกว่านี้ ถ้าไม่หลงเสียก่อน เตาตาล ตำนานการทำน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลมะพร้าว เป็นส่วนประกอบของอาหารและขนมไทยในหลายๆเมนู และสำหรับอัมพวา ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องสวนผลไม้ ที่รู้จักกันดีคือ ลิ้นจี่อัมพวา และหนึ่งในนั้นคือ มะพร้าว ที่นอกจากเอาไปทำอาหาร น้ำมะพร้าว ขนมแล้ว ยังสามารถนำมาทำน้ำตาลได้ ที่จริงแล้ว ผมหลงทางครับ หลงเข้าไปในเส้นทางที่ล้อมรอบด้วยสวนผลไม้ และคูคลองคดเคี้ยว เห็นเพียงทิวมะพร้าว และสวนผลไม้ข้างทางเต็มไปหมด แต่หลงไปหลงมา ใช้เวลาสักพักก็มาทะลุออกเส้นทางกลางสวนที่ไม่ไกลจากถนนเพชรเกษม มีบ้านสวนเล็กๆตั้งอยู่ ชื่อ เตาไทยเดิม 2 (ต้องมีเลข 2 ด้วยนะครับ) ที่นี่เป็น “เตาตาล” ที่ให้ความรู้เรื่องกระบวนการทำน้ำตาลมะพร้าว ตั้งแต่ชมสวนสู่กระบวนการเก็บน้ำตาล ที่มีต้นมะพร้าวจำลองให้ได้ลองไต่ และตัดดอกมะพร้าว เคี่ยวในเตาร้อน ที่มีกระบวนการหลายขั้นตอนจนกลายเป็นน้ำตาลเหลวที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลมะพร้าวหลายรูปแบบ เช่น น้ำตาลปึก หรือน้ำตาลปี๊ป ที่นี่ยังเปิดเรือนไทยไม้โบราณที่ปัจจุบันยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยให้ได้เยี่ยมชม ศึกษา และเรียนรู้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวสมุทรสงครามแท้ๆ เนื่องจากเตาตาลแห่งนี้ อยู่ระหว่างทางไปอัมพวา และตลาดน้ำดำเนินสะดวก ทำให้เราสามารถแวะชมการทำน้ำตาลที่นี่ก่อนไปตลาดน้ำทั้ง 2 แห่งได้สบายๆเลยครับ โบสถ์โพธิ์ปรก ที่จริง ตลาดน้ำอัมพวาสามารถเข้าได้ตรงจากถนนเพชรเกษมที่เข้ามาไม่ไกลก็ถึงตัวตลาด แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขับครับ เลยหลงอ้อมไปทางวัดบางกุ้ง ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ้อมไปอีกหลายสิบกิโลกว่าจะถึงตัวตลาด แต่ไหนๆก็หลงมาทางนี้แล้ว เลยพามาดูสิ่งมหัศจรรย์ของย่านนี้หน่อย บางโปรแกรมที่มาเที่ยวอัมพวา เรามักพาลูกค้ามาแวะชมที่นี่ครับ อาจเทียบความใหญ่และความอลังการกับปราสาทตาพรหมที่เสียมเรียบไม่ได้ แต่ก็เป็นความสวยงามและมีมนต์ขลังของธรรมชาติกับศาสนสถานในบ้านเราครับ วัดบางกุ้งนี้ มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งค่ายทหารล้อมวัดบางกุ้งให้อยู่กลางค่าย เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเป็นกำลังใจแก่ทหารในศึกรบพม่า ที่นี่จึงได้ชื่อว่า “ค่ายบางกุ้ง” จนถึงปี พ.ศ.2310 เมื่อพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก ค่ายบางกุ้งถูกทิ้งร้างมาจนถึงสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ทรงรวบรวมชาวจีนจากระยอง ชลบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี มาตั้งเป็นกองกำลังรักษาค่าย และทำให้ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ค่ายจีนบางกุ้ง” ขับไล่กองทัพพม่าจนแตกพ่ายไป หลังศึกสงครามนี้ วัดบางกุ้งได้กลายเป็นวัดร้างไปเกือบ 200 ปี อุโบสถที่ถูกทิ้งร้างถูกปกคลุมด้วยรากของไม้ใหญ่อย่างต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่างขึ้นล้อมรอบอุโบสถ จนถึงปีพ.ศ.2510 กระทรวงศึกษาธิการจึงเข้ามาบูรณะ และสร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือกองทัพพม่า ไฮไลท์ของการมาที่นี่ คือการเยี่ยมชมความมหัศจรรย์ของโบสถ์โพธิ์ปรก และเก็บเกร็ดความรู้ของประวัติศาสตร์ค่ายบางกุ้ง ทั้งในช่วงล่มสลายในสมัยอยุธยา มาจนถึงการรบพม่าที่ค่ายบางกุ้งใน พ.ศ.2311 ซึ่งเป็นสงครามและชัยชนะครั้งแรกต่อพม่า ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี เราแวะดื่มน้ำมะพร้าวสดในบริเวณนั้นก่อนจะไปต่อ สิ่งหนึ่งที่ผมกับครอบครัวชอบเป็นพิเศษของการมาเที่ยวอัมพวา คือการได้ดื่มน้ำมะพร้าวในราคาถูกกว่าปกติครับ ตามแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของชาวต่างชาติ ราคาน้ำมะพร้าวสดจากลูกจะพุ่งขึ้นถึงลูกละ 60 บาทเลยทีเดียว การได้ดื่มลูกละ 20-25 บาทจึงเป็นความสดชื่น ฟิน และแอบชื่นใจครับ โอ อัมพวา นี่หนางามจริง หลังจากหลงมาสองที่ ในที่สุดเราก็มาถึงตลาดน้ำอัมพวา เสียงเพลงสาวอัมพวาของสุนทราภรณ์ดังแว่วมาต้อนรับเราขณะเดินไปตามทางก่อนเข้าสู่ตลาด เฟืองแม้มาครั้งแรก ก็หาทางเข้าได้ไม่ยาก จากบริเวณทางเข้าที่มีนักท่องเที่ยวแน่นขนัด ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่มาเที่ยวชมตลาดช่วงวันหยุด ในขณะที่วันธรรมดา ที่นี่สุดแสนจะเงียบเหงา และไร้ร้านรวง มาคึกคักอีกทีคือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ทั้งคนทั้งเรือ เบียดเสียด แน่นขนัดเต็มลำน้ำ อัมพวา หมายถึง ป่ามะม่วงหรือสวนมะม่วงในพุทธประวัติ ตำบลอัมพวา เป็นตำบลเก่าแก่ ซึ่งมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและศึกษา เนื่องจากเป็นสถานที่ประสูติของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และ เป็นสถานที่ประสูติของพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 1 และ รัชกาลที่ 2 นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีอุทยานร.2 ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ (เดินไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวาครับ) เดิมตำบลอัมพวา ถูกเรียกว่า แขวงบางช้าง มีลักษณะเป็นชุมชนเล็ก ๆ แต่มีความเจริญควบคู่ทั้งด้านเกษตรกรรมและพาณิชยกรรม การคมนาคมหลักในสมัยโบราณคือ การเดินทางทางเรือ ทำให้แม่น้ำแม่กลองที่ลัดผ่านชุมชน กลายเป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญ ด้วยความหิว เราจึงแวะทานซีฟู้ดที่ร้านริมทางในตลาด บรรยากาศที่นับว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่คือการนั่งทานอาหารทะเลริมตลิ่งคลองที่พ่อค้าแม่ค้าปิ้งย่างขายกันสดๆจากเรืออีแป๊ะ (เรือพายแบบที่ไม่มีเครื่องยนต์) คุณสามารถสั่งส้มตำ และสะกิดสั่งขนมหวานมาล้างปากจากเรือลำข้างๆได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมแนะนำให้คุณแน่ใจจริงๆว่าอาหารทะเลที่ปิ้งย่างนั้น สุกจริงๆนะครับ มิฉะนั้นคุณอาจหมดเวลาสนุกไปกับการเข้าห้องน้ำเหมือนผมครั้งหนึ่งก็เป็นได้ ครั้งนี้ผมจะไม่พลาดอีก และจะไม่ปล่อยให้ลูกค้าของผมพลาดเหมือนกัน เราจึงเลือกร้านนั่งโต๊ะในตลาดซึ่งราคาสูงกว่า แต่มั่นใจกว่า เราเดินไปตามตลาดที่สินค้ามีทั้งของที่ระลึก ขนมไทยที่บางอย่างหาทานไม่ได้ในกรุงเทพ ปลาทูแม่กลองที่ขึ้นชื่อเรื่องความมัน เนื้อแน่น ห้องแถวเรือนไม้ริมน้ำกลายสภาพจากที่อยู่อาศัยเป็นร้านขายของ วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวริมน้ำอัมพวา คือบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะพายเรือออกมาจากสวน นำผลผลิตท้องถิ่นมาขาย พริก หอม กระเทียม กะปิ น้ำตาลมะพร้าว กุ้งหอยปูปลา ผักผลไม้ ขนมต่างๆ จนกระทั่ง “ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา” ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2547 และทำให้วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวชุมชนริมน้ำอัมพวาเปลี่ยนแปลงไปเพื่อรองรับกับภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้น จากหลักพันเป็นหลักหมื่นต่อเดือน โรงแรม และเกสท์เฮาส์ที่เพิ่มขึ้นทั่วชุมชนกว่า 300 แห่ง และเหนือสิ่งอื่นใดคือ เสน่ห์ของวิถีชีวิตชุมชนที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และยังคงเป็นคำถามหนึ่งสำหรับชุมชนอัมพวา ว่าแท้จริงแล้ว คนในชุมชนต้องการเช่นนี้จริงๆหรือ เฟืองหยุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ย้อมสีฟ้าทั้งผืนให้เป็นสีส้มสวยงาม ขณะกำลังข้ามสะพานเพื่อไปอีกฟากหนึ่งของตลาด เฟืองหยุดดูตุ๊กตาสำหรับหลานสาว กับแก้วเพ็นท์ Handmade ที่เพ็นท์กันให้ดูตรงนั้นเลย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตว่าคนเวียดนามถามหาทุกครั้งที่มาเมืองไทย คือ ร้านนวดครับ โดยเฉพาะนวดเท้า ทั้งทีน่าและเฟืองต่างก็ถามหาร้านนวดเท้า แต่ยังไม่ใจถึงพอที่จะนวดตัวแผนไทย ซึ่งนับว่าหนักไปสำหรับพวกเขา บางเวลาก็ทำให้ผมรู้สึกว่า คนไทยอย่างเราค่อนข้างมาโซคิส (Masochist: ผู้ที่ชอบถูกกระทำรุนแรง) ตั้งแต่อาหารที่รสชาติจัดจ้านน้ำตาไหล ไปถึงการนวดที่รุนแรงหนักหน่วง ที่ร้านหัตถาธาราในตลาดน้ำอัมพวา มีบริการนวดแผนไทยบนเรือ และบริการชมหิ่งห้อยด้วย รับจำนวนจำกัด เพราะที่นอนนวดบนเรือมีจำกัดเพียง 6 ที่เท่านั้น และวิ่งเพียงรอบเดียวต่อวัน เพราะออกเรือไปกว่าจะกลับเข้ามาตลาดก็วายแล้ว ผมเห็นว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี (สำหรับตัวผมเองด้วย) และได้ชมไฮไลท์หนึ่งของการมาเยือนอัมพวา คือการนั่งเรือชมหิ่งห้อย หลังจากเดินมาตลอดทั้งวัน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เอนหลังลง ปล่อยอารมณ์ไปกับสายน้ำขณะที่ตะวันกำลังลับขอบฟ้า และผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อ่อนล้ากับหมอนวดดีๆ เฟืองโบกมือให้กับเด็กน้อยที่โบกมือให้เธอจากเรือหางยาวที่แล่นผ่านเราไป ลำแล้วลำเล่า เรือนวดวิ่งช้ากว่าเรือชมหิ่งห้อยอื่นๆ และทำให้เรือมีเพียงรอบเดียวต่อวัน เนื่องจากหมอนวดมีจำกัดวันนั้น ทำให้เราต้องสลับคิวกันนวด โดยผมให้เธอนวดก่อน ขณะที่ผมนั่งมองสายน้ำที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อฟ้ามืดลง ชุมชนอัมพวาสว่างไสวเป็นพิเศษคือในบริเวณตลาด เมื่อเราพ้นเขตตลาดมา บ้านเรือนค่อยๆห่างกัน มีเพียงแสงไฟไกลๆ และเงียบสงบลง บ้านที่นี่ส่วนใหญ่มีท่าน้ำและเรือของตัวเอง เรือล่องไปตามแม่น้ำแม่กลองที่ทอดยาว จนไม่รู้ไปสุดที่ตรงไหน บางช่วงที่ไร้ผู้คน มีต้นลำพูขึ้นเต็มซึ่งเรือได้ดับไฟมืดสนิท และจอดนิ่ง ในความมืดนั้น แสงวอบแวบเรืองสว่างขึ้นบนต้นไม้ ที่บางต้น สว่างวับราวกับต้นคริสต์มาสติดไฟ หิ่งห้อยที่สร้างชื่อเสียงให้กับอัมพวา ครั้งหนึ่งเคยมีมากกว่านี้ แต่เมื่อชื่อเสียงนั้น นำมาซึ่งเรือท่องเที่ยวนับร้อยๆลำต่อวัน ทำลายความสงบ และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชน ทำให้ชาวบ้านบางคนถึงกับโค่นต้นลำพูลง เหลือเพียงไม่กี่จุดเท่านั้นที่สามารถดูหิ่งห้อยได้ จากแสงน้อยๆของหิ่งห้อย สู่แสงหลอดไฟเจิดจ้าของอาคารบ้านเรือนที่บอกเราว่า เราวนกลับมาจุดเดิมแล้ว ร้านส่วนใหญ่ในตลาดปิดกันหมดแล้ว เฟืองเลี้ยงไอติมผมจากร้านที่ยังไม่ทันปิดระหว่างเดินกลับไปลานจอดรถ เวลาของเราวันนี้กำลังจะหมดลง แต่พวกเราคิดเหมือนกันว่า ยังอยากไปต่ออีกนิด แทนที่จะกลับโรงแรม เราจึงไปต่อกันที่บาร์อีกแห่งหนึ่งในกลางกรุงเทพ เทพบาร์ (Tep Bar) บาร์เทพๆในตรอกเล็กๆ แม้แต่ผมเองก็จินตนาการไม่ออกว่าในตรอกเล็กๆของซอยนานาที่ถัดจากถนนเยาวราชเพียงบล็อคเดียวจะมีอะไรน่ารักๆแบบนี้ซ่อนอยู่ และแม้จะเปิดแผนที่มาจนถึงหน้าร้านแล้ว ผมก็ยังหาร้านไม่เจอจนกระทั่งพนักงานร้านเปิดประตูไม้ทรงไทยของสิ่งที่ดูเหมือนบ้านคนจากด้านข้าง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวของเสียงระนาดและฉิ่งดังแทรกประตูออกมาทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะตามพนักงานเข้าไป เราเปลี่ยนโต๊ะอยู่รอบหนึ่งจนมาได้โต๊ะหน้าเวทีแสดงระนาด ได้ชมการบรรเลงแบบใกล้ชิดชนิดที่ไม้ระนาดเคาะหัวผมได้ ที่นี่เป็นตึกเก่าสมัยหลังสงครามโลก นำมาปรับแต่งใหม่ ตกแต่งให้มีความเป็นไทยตั้งแต่หน้าประตูบานไม้ เมื่อเปิดเข้ามาก็จะพบกับโต๊ะไม้ กลองยาว และบาร์ที่เลือกใช้กระจกสีทองมาตกแต่งแทนกระเบื้องโมเสก ผนังปูนด้านหลังบาร์ทาสีทองและปิดด้วยทองคำเปลวดูมีมนต์ขลัง ส่วนบนชั้นสองมีโต๊ะกลมตัวเตี้ยและหมอนอิงสามเหลี่ยมแบบไทยๆ นอกจากการตกแต่งแล้ว ดนตรีไทยก็กลายเป็นส่วนสำคัญของเทพบาร์ ใครที่แวะเข้ามาในวันศุกร์ - อาทิตย์จะได้ฟังเพลงไทยหลากหลายวงมาร่วมบรรเลงเพลงแบบโหมโรงให้ฟังกันตั้งแต่ 1 ทุ่มเป็นต้นไปอีกด้วย ลูกค้าชาวต่างชาติหลายคนถามหาที่นี่ เพราะได้สนุกสนานกับบรรยากาศแสงสีเสียงยามค่ำคืนในสไตล์ไทยเดิม เครื่องดื่มที่นี่ยังมีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยด้วยเหล้ารัมผสมกับสมุนไพรนานาชนิด ใส่ลูกเล่นแบบไทยๆในบางเมนู อย่างข้าวตัง หรือกล้วยตากที่ท้อปปิ้งมาบนเครื่องดื่มอย่างที่คุณไม่เคยพบเคยเจอที่ไหน เฟืองสั่งค็อกเทลไทยมาลอง ในขณะที่ผมซึ่งไม่สันทัดแอลกอฮอล์และสั่งเพียงน้ำสมุนไพรสูตรพิเศษของทางร้านมาลองซึ่งหอมกลิ่นสะระแหน่และสมุนไพรในโอ่งลายคราม เป็นเอกลักษณ์ดีครับ ผมพลาดตรงที่เราผลัดกันชิมเครื่องดื่มที่เราสั่งมา เพื่อจะได้ลองอะไรที่หลากหลาย โดยลืมไปว่าเครื่องดื่มที่เฟืองสั่งผสมเหล้าดีกรีสูงอยู่ เพียงไม่กี่อึกสำหรับคนแพ้แอลกอฮอล์อย่างผม ทำเอาเทพบาร์กลายเป็นบาร์เขย่าวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน หัวหนักอึ้ง เดินชนโต๊ะไปทั่ว ผู้คนรอบด้านราวกับแยกร่างได้ จนต้องออกมาหาอะไรรองท้องให้หายมึน เป็นความอับอายครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งสำหรับชีวิตผมเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ครับ ซึ่งเมื่อโควิดทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยน เทพบาร์ก็ต้องปรับตัวรับนโยบายรัฐ และขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการ แต่สำหรับท่านที่อยากลองเครื่องดื่มสูตรพิเศษ ทางร้านมีบริการเครื่องดื่มแบบแพ็คเกจ ชง ผสมเอง ในโอ่งลายครามที่ผมได้ลองมานี้แหละ แต่ส่งตรงถึงบ้าน เป็นเครื่องดื่มสุขภาพ ไม่มีแอลกอฮอล์ครับ และแม้จะเป็นหลังโควิด หลายสิ่งจะเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมแนะนำให้ “แยกแก้ว” กันดื่มดีกว่า เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของคุณเองครับ รายละเอียดของร้าน และเครื่องดื่ม Delivery สามารถสอบถามเพิ่มเติมโดยตรงกับทางร้านที่เฟซบุ้คร้านได้เลยครับ https://m.facebook.com/TEPBARBKK/ เนื่องจากทุกวันนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งที่เปิดใหม่ และลูกค้าที่ต้องการโปรแกรมใหม่ๆ เพื่อมุมมองที่แตกต่างออกไปในปลายทางเดิม สำหรับสายงานท่องเที่ยว จำเป็นมากที่ต้องอัพเดท และเพิ่มพูนความรู้ในจุดหมายปลายทางต่างๆ เส้นทาง และโรงแรม เมื่อถึงฤดูสำรวจเส้นทาง หรือที่เรียกกันว่า inspection ซึ่งหลายๆบริษัทจะจัดเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้พนักงานในช่วง Low Seasons ที่เราพอจะมีเวลาได้พักหายใจกันบ้างหลังจากที่ทำงานหนักกันมาทั้งปี เจ้านายก็เรียกผมกับเคนไปพบ “ช่วงนี้ยูไม่ค่อยยุ่งใช่มั้ย” “ใช่ครับ/ค่ะ” “ไปหาเวลาสักอาทิตย์นึงแล้วมาบอกฉันนะ ฉันจะออกตั๋วให้” “ไปไหนครับ” ผมถาม “โฮจิมินห์ ไปติดต่อจางให้ฉันด้วย ฉันต้องรู้โปรแกรมก่อน ไม่ได้ให้พวกยูไปเปล่านะ มาพรีเซ้นต์ให้ฉันกับเมเนจเมนท์ดูด้วย เข้าใจมั้ย” “ครับ/ค่ะ” พวกเราออกจากห้องนายมาด้วยหัวใจพองโต และยิ้มแก้มแทบปริ อ้างอิงภาพ: ภาพปก: https://bit.ly/2zrD5Jc/ ภาพ 1: Pornpan Kleepkaew/ ภาพ 2: Pornpan Kleepkaew / ภาพ 3: https://bit.ly/2WFgPnq / ภาพ 4-6: นาคิน / ภาพ 7-8: https://m.facebook.com/TEPBARBKK/ อ้างอิงเนื้อหา: https://digitalchumchon.org/home/blog_detail/1279 https://bit.ly/2xTE8l2 https://bit.ly/2WltHAa