การจะเป็นสังคมได้นั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ประเทศไทยเป็นเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่สิ่งที่อยู่คู่กับพระพุทธศาสนา และที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็น่าจะหนีไม่พ้น คือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู หากลองเข้าไปศึกษาตำราการเกิดพระพุทธศาสนา ส่วนมากจะกล่าวว่าพระพุทธศาสนามีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ด้วยกันทั้งนั้น อีกทั้งคำสอนของทางพระพุทธศาสนา ถูกหลอมรวมเข้ามาในคำสอนทางพระพุทธศาสนา ด้งนั้นความรู้สึกของผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนาเสมือนเป็นการกลืนศาสนาพราหมณ์เข้าไปด้วย สิ่งที่เราแบ่งแยกระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ ที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยคือเรื่องของการนับถือเทพเจ้าด้วยความที่เป็นวัตถุนิยมที่สามารถมองเห็น จับต้องได้เป็นรูปเป็นร่าง กล่าวคือพระพุทธศาสนามองพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้และเผยแพร่คำสอน โดยการใช้ปัจจัยทางธรรมชาติมาเป็นตัวสอน ในขณะที่ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูนั้นมองเทพเจ้าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ภายใต้องค์ “พระปรมาตมัน” ผ่านความเชื่อเกี่ยวกับ “พระตรีมูรติ” ผ่านพระพรหม คือผู้สร้างโลก พระนารายณ์ คือผู้คุ้มครองโลก และพระศิวะ คือผู้ทำลายร้าง CITATION (จักรภัทร กองคลัง, 2563) ถึงแม้ว่าจะบอกว่าศาสนาพุทธกับศาสนาพราณ์มีผู้นำทางการเผยแพร่ศาสนาที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ความรู้สึกของผู้นับถือศาสนา 2 ศาสนานี้มีความรู้สึกที่เหมือนกัน คงหนีไม่พ้น “เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด” ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ถือว่ามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยนับถือและต้องพยายามที่จะไปกราบสักการะสักครั้งหนึ่ง นั่นคือท้าวมหาพรหมเอราวัญ ณ แยกราชประสงค์ ซึ่งลักษณะของผู้สร้างโลกหรือผู้ลิขิตชะตาชีวิตของแต่ละคน หรือหลายๆคนเปรียบเสมือน “พรหมลิขิต” คือผู้ที่มี 4 เศียร 4 หน้า 4 กร และถือสิ่งของต่างๆ โดยผู้ที่บูชาประจำมักจะสมหวังสิ่งที่ตัวเองคาดหวัง เช่นเดียวกับผู้เขียนที่สมัยเรียนหนังสืออยู่มัธยมตอนปลายที่กลุ่มเพื่อนกล่าวว่าต้องไปขอพรที่พระพรหมเอราวัณ และจะเอ็นทรานซ์ติดคณะหรือมหาวิทยาลัยที่ตัวเองอย่างเรียน ซึ่งขณะนั้นก็ได้ทำการขอพรและสามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนจริงทำให้ยิ่งนับถือตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมา นอกจากพระพรหมเอราวัณแล้ว ผู้เขียนจะขอแนะนำสถานที่เที่ยวใหม่ อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกไม่ว่าจะด้วยระบบรถสาธารณะหรือโดยรถส่วนตัวก็สะดวก นั่นคือวิหารท้าวมหาพรหมมหามุณี แก่งคอย อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เป็นวิหารที่รวมสิ่งศักดิ์ที่ชาวตลาดแก่งคอยให้ความนับถือ สร้างขึ้นริมแม่น้ำป่าสัก ใกล้สะพานอดิเรกสาร วิหารนี้ถูกปรับปรุงเป็นสภาพปัจจุบันในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2522 จากวิหารเรือนไม้เก่า ปัจจุบันเป็นศาลที่มีความสวยงาม ภายใต้การดูแลของมูลนิธิแก่งคอยเมตตาธรรม ฝ่ายท้าวมหาพรหม ทำให้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้สวยงาม สงบ ร่มรื่น ใหญ่โตขึ้น ด้วยการขยายพื้นที่ของวิหารก็เพื่อรองรับผู้มาท่องเที่ยวเยี่ยมชมสักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล อีกทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และเดินออกกำลังกายของประชาชนชุมชนโดยรอบ และในอนาคตอันใกล้นี้ชุมชนเรือนไม้ใกล้วิหารท้าวมหาพรหมกำลังจะได้รับการปรับปรุงเพื่อรองรับกับนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ซึ่งกลุ่มหอการค้าแก่งคอย และกลุ่มแก่งคอยเมืองน่าอยู่ ที่เข้ามาสำรวจพื้นที่และพยายามปรับภูมิทัศน์ชุมชนรอบท้าวมหาพรหมเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยสมบูรณ์แบบ นอกจากท้าวมหาพรหมที่ถือเป็นจุด Signature ของวิหารแล้ว ยังมีองค์พระพิฆเนศที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ มีความเฉลียวฉลาด และนำความร่ำรวยมาสู่ผู้บูชา ความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ท่านมีเป็นโอรสของพระศิวะ แบ พระศรีมหาอุมาเทวี โดยลักษณะท่านมีกายเป็นมนุษย์ แต่มีเศียรเป็นช้าง มีงาเดียว มีกร 4 กร ถือบ่วงบาศและขอสับช้าง อ้วน เตี้ย พระวรกายสีแดง สีขาว สีเหลือง ฯลฯ ซึ่งของไหว้พระพิฆเนศนั้นมักจะเป็นขนมหวาน นม น้ำ ผลไม้สุก เช่น กล้วยสุก มะพร้าว อ้อย เครื่องเทศ ธัญพืชนานาชนิด และไม่ควรไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เมืองลพบุรี แต่ในวิหารแห่งนี้ได้อันเชิญเจ้าพ่อพระกาฬ แห่งเมืองละโว้ เมืองเก่า หรือที่เราเรียกว่า เมืองลพบุรี มีประดิษฐานให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาได้เข้ามากราบสักการะ เช่นเดียวกับศาลหลักเมืองของเมืองลพบุรี ซึ่งการไหว้เจ้าพ่อพระกาฬ ก็เป็นความเชื่อของหลายๆคนที่ว่า ท่านเป็นผู้สร้างเมืองลพบุรี และยังช่วยเรื่องอานุภาพในการขับไล่ศัตรู และป้องกันอันตราย CITATION สำน632 \l 1054 (สำนักข่าวเดอะไทยเพรส, 2563) งานประจำปีของวิหารท้าวมหาพรหมมหามุณี แก่งคอย เริ่มจากงานฉลองวิหารฯ ซึ่งจะจัดตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ – 9 ค่ำ เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ โดยภายในงานทางฝ่ายท้าวมหาพรหม มูลนิธิแก่งคอยเมตตาธรรม จัดทำบุญสวดมนต์เย็น เลี้ยงพระเช้า จัดบายศรี และถวายมหรสพลิเก ตลอด 2 คืน เป็นประจำทุกปี โดยได้รับความร่วมมือและรวบรวมเงินปัจจัยจากประชาชนชาวตลาดแก่งคอย เพื่อใช้ในการจัดงาน งานประเพณีตรุษจีน ทางคณะกรรมการฝ่ายหลวงปู่พรหมฯ จะจัดการไหว้องค์เทพ รวมถึงจัดไหว้องค์เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ยะ ซึ่งถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ และการไหว้เพื่อเรียกทรัพย์ ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยรับปีใหม่ งานประเพณีสงกรานต์ของทางฝ่ายท้าวมหาพรหม เป็นงานที่จัดสรงน้ำองค์ท้าวมหาพรหม และเหล่าองค์เทพภายในวิหาร รวมไปถึงการเชิญผู้สูงอายุมาร่วมงานเพื่อเป็นการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในตลาดแก่งคอยไปพร้อมกันเลยที่เดียว ในขณะที่หลังจากเสร็จพิธีการแล้ว เด็กๆก็มักจะเล่นน้ำกันต่ออย่างสนุกสนาน งานแห่ท้าวมหาพรหมประจำปี งานนี้จะถูกจัดโดยคณะกรรมการจัดงานงิ้วประจำปี ซึ่งเกิดจากการเสี่ยงทายคณะกรรมการขึ้นมาจำนวน 8 ท่าน ในแต่ละปี เพื่อเป็นคณะทำงานงานแห่งิ้วประจำปี ซึ่งวันในการจัดงานงิ้วจะขึ้นอยู่กับคณะจัดงานประจำปีนั้นๆ เป็นผู้กำหนด อาทิเช่นในปี พ.ศ. 2563 จะจัดแห่ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ในการแห่ประจำปี จะจัดเป็นขบวนอันสวยงาม มีขบวนแสดงทั้งคณะสิงโต คณะมังกรทอง คณะเอ็งกอ และคณะล้อโก้ว จากนั้นแห่ท่านมาประทับที่กลางตลาดสดเทศบาลแก่งคอย (ศาลเจ้าชั่วคราวฯ) เพื่อโปรดชาวตลาดแก่งคอย โดยคณะจัดงานจะจัดแสดงอุปรากรจีน (งิ้ว) และประมูลวัตถุมงคล ทั้ง 4 วัน 4 คืน และในวันที่ 5 ก็จะแห่ท่านกลับมาประทับที่วิหารดังเดิม ผู้สนใจสามารถร่วมงานได้เพื่อความเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว ศิษย์หลวงปู่พรหม แก่งคอย...ยินดีต้อนรับค่ะ Bibliography BIBLIOGRAPHY จักรภัทร กองคลัง. (2563, กันยายน 22). หลักธรรมในการอยู่ร่วมกันของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู. Retrieved from chakkaphatpk: https://sites.google.com/site/chakkaphatpk/hlak-thrrm-ni-ka-rx-yua-rwm-kan-khxng-sasna-phrahmn-hindu สำนักข่าวเดอะไทยเพรส. (2563, กันยายน 2563). “เจ้าพ่อพระกาฬ” ทรงอานุภาพ ศัตรูยำเกรงไม่กล้าทำอันตราย บูชาดีๆมีแต่ได้สมความปรารถนา. Retrieved กันยายน 27, 2563, from https://www.thethaipress.com: https://www.thethaipress.com/2020/8020/ รูปปก : ถ่ายโดยผู้เขียน รูปภาพประกอบ 1 - 9 :ถ่ายโดยผู้เขียน