'ซาฟารี ศรีสัชนาลัย' กำแพงเมืองเก่าที่ทำด้วยศิลาแลงยังดูแข็งแรง เช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ที่ยังแผ่กิ่งก้าน แม้เมืองในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ผ่านการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่หลักฐานหลายอย่างแสดงถึงการอยู่อาศัยภายในกำแพงเรื่อยมา ไม่ได้รกร้างเช่นเมืองเก่าหลายแห่ง นี่ทำให้ศิลปะรูปสัตว์ต่าง ๆ แฝงเร้นอยู่ตามซอกมุม และรอให้นักท่องเที่ยวมาค้นหา เอกลักษณ์ของ 'ซาฟารี ศรีสัชนาลัย'….. เพราะภาพสัตว์จะซ่อนอยู่ตามโบราณสถานต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น ทำให้มองเห็นการเชื่อมโยงด้านศิลปกรรมกับวัฒนธรรมอื่น ๆ และเข้าใจปรัชญาแนวคิดคนในยุคศรีสัชนาลัยได้มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้คนที่มาชมเข้าใจและปฏิสัมพันธ์กับโบราณสถานที่มีอยู่เดิมได้ง่าย ปรัชญาเป็นสิ่งที่ซึมลึกอยู่ในชีวิตคนไม่ว่ายุคไหน มนุษย์เองพยายามแสดงออกถึงแนวคิดผ่านงานศิลปะ สำหรับศรีสัชนาลัย รูปปั้นสัญลักษณ์สัตว์ สะท้อนให้เห็นแนวคิดทางการเมือง รวมถึงการติดต่อสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอื่น อย่าง รูปปั้นช้าง ที่พบมาในโบราณสถานสุโขทัย สามารถตีความได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ในยุคนั้น หรือการรับวัฒนธรรมจากลังกาที่มีความเชื่อเรื่องช้างในลักษณะการบูชาพุทธศาสนา เช่นเดียวกับรูปปั้นช้างที่อยู่รอบเจดีย์ ที่มีแค่ครึ่งตัว ที่ทำให้ตัวเจดีย์มีความโดดเด่นขึ้น ซึ่งหลังยุคสุโขทัย ฐานเจดีย์มักเป็นรูปสิงห์เข้ามาแทนรูปช้าง รูปปั้นช้างรอบเจดีย์ พบแทบทุกเมืองในสมัยสุโขทัย เช่น วัดสรศักดิ์ ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย หรือวัดช้างล้อม ที่ตั้งอยู่กลางเมือง ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ซึ่งมีความโดดเด่น ด้วยรูปปั้นช้างเต็มตัวมีขาหลัง เพราะหลายที่จะปั้นช้างแค่ครึ่งตัว โดยไม่มีช่วงขาหลัง โดยรูปปั้นช้างพบได้ในเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากสุโขทัยเช่น เมืองน่าน และเชียงใหม่ ศิลปกรรมรูปนาค ทำให้เห็นว่าสุโขทัยรับวัฒนธรรมมาจากเขมร เพราะตามตำนานพญานาคคือ งู ที่มาจากดิน ซึ่งไม่ใช่งูธรรมดา แต่งูมีหงอนเป็นงูวิเศษ บางตำนานเล่าว่า นาคอยู่ในน้ำ และมีบางตำนานบอกว่า นาคแสดงถึงคนท้องถิ่น รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ รูปนาค มักพบคู่กับมกร เป็นสัตว์ที่พบมากในเอเชียหลายพื้นที่ ถือเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างรูปมังกรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีความเชื่อว่า มีเทพเจ้าองค์นึงที่ใช้มกรเป็นพาหนะคือ พระวรุณ ที่ต่อมารับหน้าที่เป็นเทพแห่งฝนแทน พระอินทร์ ซึ่งมกร เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ศิลปกรรมส่วนใหญ่ที่พบมกรกับนาคคู่กัน เป็นลักษณะมกรอ้าปาก แล้วมีนาคเลื้อยออกมาจากปาก อาจแปลความหมายได้ว่า เมื่อน้ำจากแผ่นดินกับน้ำในอากาศมาเจอกัน เมื่อนั้นจะเกิดฝนนำความอุดมสมบูรณ์มาให้ รูปมกรคายนาค พบแทบทุกวัดของสุโขทัย ที่มีซุ้มประตูหลงเหลืออยู่ เช่น วัดเจดีย์เจ็ดแถว หนึ่งในโบราณสถานสำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย หรือในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง มีการจัดแสดงโชว์ ที่ทำให้เห็นอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพราะรูปเหล่านี้มักอยู่ส่วนยอดโบราณสถาน สัตว์สัญลักษณ์ที่พบมากอีกอย่างคือ กาล อีกชื่อเรียกว่า เกียรติมุข มีลักษณะเป็นรูปยักษ์หน้าตาถมึงทึง แยกเขี้ยว แต่ไม่มีลำตัว จะมีแต่แขนที่โผล่มาใต้ใบหู ตำนานฮินดูเล่าว่า กาล เกิดมาจากหว่างคิ้วพระอิศวร แล้วถูกสาปให้เฝ้าด้านหน้าศาสนสถาน เพื่อจับกินสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเป็นอาหาร รวมถึงกินเวลาเป็นอาหาร ส่วนใหญ่รูปกาล จะอยู่บนยอดซุ้มประตูทางเข้า แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง มีการวิจัยพบว่า รูปกาล เป็นสัญลักษณ์การบูชายันตร์ เพราะแต่ก่อนจะบูชาเทพเจ้าจะนำเลือดสัตว์ไปแต้มไว้บนเทวรูป แล้วนำหัวสัตว์มาแขวนไว้ตรงหน้าประตูทางเข้า พอยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็เปลี่ยนมาเป็นสัญลักษณ์รูปปูนปั้นแทนการใช้สัตว์มาบูชาเหมือนก่อน ต่อมาคนก็นำแนวคิดของกาล มาเป็นปรัชญา เพราะกาลแปลว่าเวลา ไม่มีตัวตน แต่จะกลืนกินตัวเอง สิ่งนี้สอนเราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันกลืนกินตัวเองไปตามกาลเวลา แต่คนมักจำสลับกันระหว่างกาล กับราหู ซึ่งราหูมือทั้งสองข้างจะถือพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ ปลา เป็นสัตว์ที่พบบ่อยในเครื่องถ้วยสุโขทัย เรียกว่า เครื่องสังคโลก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นไปได้ว่า สุโขทัยยุคนั้นช่างพยายามเลียบแบบลายเครื่องถ้วยจีน ที่จะเป็นลายปลาคู่ อันมีความหมายว่า กินใช้ไม่รู้จักหมดสิ้น หรือจะตีความว่า ปลาแสดงถึงความเวียนว่ายตายเกิดในเชิงศาสนาก็ได้ ลวดลายสัตว์ที่แฝงอยู่ผ่านการท่องไปใน 'ซาฟารี ศรีสัชนาลัย' นอกจากตำนานที่ซ่อนอยู่ ยังสะท้อนความเป็นไปของผู้คนผ่านงานศิลปะ ที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ค้นหาความหมาย และรับรู้ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในตัวงาน. **CR ภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน **ดูคลิปวีดีโอเพิ่มที่ https://youtu.be/rcZ48CCx_gE