หากเอ่ยถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หลายคนอาจนึกถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอันดับแรก อาจเป็นเพราะเราคุ้นชินมากกว่า รวมถึงเดินทางสะดวกกว่าด้วย แต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยตามหลักฐานที่ค้นพบเริ่มที่ “สุโขทัย” หลังจากไปย้อนอดีตที่อยุธยาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เราจะพาไปที่ “อุทยานประศาสตร์ศรีสัชนาลัย” ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ภายใต้ชื่อว่า "เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร" เราออกเดินทางโดยรถทัวร์ไปลงที่จังหวัดพิษณุโลกรอบนี้ไปกันหลายคนจึงหารถเช่าจากพิษณุโลกขับไปสุโขทัยกันเพื่อสะดวกในการเดินทาง เมื่อถึงศรีสัชนาลัยทำการซื้อบัตรเข้าชมโบราณสถาน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย 20 บาท และเช่าจักรยานสำหรับปั่นชม 50 บาทบวกค่าเข้าชมสำหรับรถจักรยาน 2 ล้อ อีก 10 บาท เริ่มตะลุยอาณาจักรศรีสัชนาลัยกันได้เลย สถานที่แรกที่ไปถึงคือ “โบราณสถานวัดวิหารน้อย” ที่เหลือเพียงฐานทรงบัวคว่ำ ทั้งหมดก่อด้วยศิลาแลง มีเจดีย์ตั้งอยู่ด้านหลัง หากยังคงอยู่ครบสมบูรณ์แบบคงสวยงามไม่น้อย ถัดจากวัดวิหารน้อยปั่นจักรยานไปตามทางเรื่อย ๆ เป้าหมายของเราอยู่ที่ “วัดช้างล้อม” ตามประวัติศาสตร์ว่ากันว่าเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองศรีสัชนาลัย อีกทั้งมีการสันนิษฐานกันว่า อาจเป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชสร้างขึ้นในปี พ.ส.1828 เมื่อเดินชมรอบ ๆ วัดจะเห็นว่าเจดีย์มีรูปปั้นช้างรายล้อมอยู่รอบนับได้ประมาณ 39 เชือก ซึ่งจากการค้นคว้าข้อมูลพบว่าการสร้างเจดีย์รูปแบบนี้มาจากประเทศศรีลังกาที่มีอิทธิพลมาสู่อาณาจักรสุโขทัยเราด้วย จากวัดช้างล้อมเราไปต่อที่ “วัดเจดีย์ 7 แถว” เป็นวัดที่มีเจดีย์หลายรูปแบบและเยอะมาก ทั้งทรงดอกบัวตูม ทรงปราสาท ทรงกลม จากข้อมูลเกือบ 33 องค์เจดีย์ สันนิษฐานว่าวัดนี้เป็นสุสานหลวง เจดีย์ที่เห็นบรรจุอัฐิของพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์สุโขทัย ระหว่างที่เดินชมรู้สึกถึงความขลังและความสวยงามไปในคราวเดียวกัน จากวัดเจดีย์เจ็ดแถวเราปั่นจักรยานกันยาว ๆ เลย ไปยังภูเขาด้านหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งของ “วัดเขาพนมเพลิง” ได้เวลาผจญภัยกันแล้ว เพราะต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 114 ขั้นเป็นวัดที่อยู่บนภูเขากลางเมืองศรีสัชนาลัย บันไดทุกขั้นก่อด้วยศิลาแลง จะเห็นได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่มักใช้ในการก่อสร้างส่วนใหญ่ในสมัยก่อน ด้านบนเป็นโบราณสถานมีเจดีย์ประธานทรงกลม และมณฑปขนาดใหญ่ คนที่นี่เรียกกันว่า “ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี” ลงจากเขาแล้วก็ปั่นจักรยานไปต่อที่ “วัดสวนแก้วอุทยานน้อย” เป็นพระอารามหลวงที่อยู่ในเขตพระราชวังของเมืองศรีสัชนาลัย คล้าย ๆ กันกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่อยุธยา จากวัดสวนแก้วอุทยานน้อยเรามาที่วัดสุดท้ายก่อนออกจากที่นี่ คือ“วัดนางพญา” วัดที่ทำให้ชาวศรีสัชนาลัยมีอาชีพทำกินมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยวิหารที่ประดับลายปูนปั้นสวยงามทำให้ช่างฝีมือหลายคนนำลายต่าง ๆ นี้ไปพัฒนาทำเป็นเครื่องประดับเงินและทอง ในชื่อ “ทองโบราณศรีสัชนาลัย” นั่นเอง หลังจากเที่ยวมาทั้งวันแล้ว เราไปหาของอร่อยและขึ้นชื่อของศรีสัชนาลัยกัน เราไปที่ร้าน “ข้าวเปิ๊บยายเครื่อง” หนึ่งเดียวในโลกไม่มีสาขานะ ใครอยากลิ้มรสต้องมาที่ศรีสัชนาลัยเท่านั้น ด้วยความที่ชื่อแปลกและมาถึงที่ทั้งทีก็ต้องลองของขึ้นชื่อกันหน่อย “ข้าวเปิ๊บ” เป็นแป้งหมักที่นำมาเทลงบนผ้าขาวบาง วางผักสดแล้วอบด้วยไอน้ำ ใส่ไข่ ใส่หมูแดง ราดน้ำซุป รสชาติกลมกล่อมอร่อยโดยไม่ต้องปรุงเลย ที่สำคัญราคาชามละ 25 บาทเอง อีกเมนูที่แนะนำคือ “ก๋วยเตี๋ยวแบ” เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กใส่ผักสด อบด้วยไอน้ำเช่นกัน จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาล ใส่ถั่วลิสง มะนาว ใส่หมูแดง พร้อมเสิร์ฟแบบไม่ต้องปรุงอีกเช่นกัน จานละ 25 บาทเท่านั้น อิ่มอร่อยและคุ้มมาก หมดไปแล้ว 1 วันที่ศรีสัชนาลัยทั้งผจญภัย เรียนรู้ประวัติศาสตร์แถมได้ทานของอร่อยขึ้นชื่อด้วย...ว่าง ๆ อย่าลืมมาเยือนศรีสัชนาลัยกันนะ สนุก สุข อิ่มท้องแน่นอนเรารับรอง... ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน ติดตามการเดินทางได้ที่ Times Travel เธอ ฉัน เรา เที่ยว