พอใกล้ถึงเทศกาลลอยกระทง เพลงนี้ก็จะแว่วเข้ามาเป็นระยะๆ แล้วเมื่อนั้นผู้คนจะเริ่มถามไถ่กันว่าปีนี้ เธอจะลอยกระทงกันที่ไหนดีล่ะ.. ซึ่งแน่ล่ะ...ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ จะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ ย่อมต้องมีสถานที่หนึ่งที่ผุดขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆในใจ นั่นคือการ...ลอยกระทงที่สุโขทัย ที่ซึ่งทำให้เราเกิดจิตนาการถึงความรุ่งโรจ์นในอดีตของกรุงสุโขทัย ที่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดประเพณีลอยกระทง ประหนึ่งว่าถ้าเราได้ไปลอยกระทงที่สุโขทัย เราจะได้ย้อนยุคกลับไปในช่วงเวลานั้นด้วย ทั้งที่จริงแล้วเราเองได้มีโอกาสไปลอยกระทงที่สุโขทัยมาบ้างแล้วนะ เพราะมีคนรู้จักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านทุ่งเสลี่ยม แต่ในปีนี้เรามีความพิเศษเพิ่มเติมขึ้นไปอีก ประการเแรก เนื่องจากปีนี้เรามีอาคันตุกะเป็นสาวน้อยต่างชาติ น้องโซเฟีย เด็กทุน AFS จากประเทศอิตาลี ซึ่งจะมาเป็นแขกพิเศษในการเที่ยวชมงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ไปด้วยกัน เราจึงมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะสอดแทรกประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของสุโขทัย แบบ extreme กันเลย ประการต่อมา ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่มีการขยายเวลาเพิ่มเป็น 10 วันเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถทยอยมาเยี่ยมชมงานได้ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2-11 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆสำหรับนักท่องเที่ยวหลากวัยอย่างกลุ่มเราที่ประกอบทั้งเด็กและผู้สูงอายุ เราต้องการซึมซับบรรยากาศของเทศกาลโดยไม่เบียดเสียดจากผู้เข้ามาร่วมงานมากจนเกินไป เพราะจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา บอกได้เลยว่าคนมาร่วมงานเยอะมากและมากขึ้นทุกๆปี ของกินของใช้ของซื้อของขายมากมายสมกับเป็นงานประเพณีระดับประเทศ โดยเฉพาะวันลอยกระทงจริงคือคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 จะมีขบวนแห่ประเพณีวัฒนธรรม 9 อำเภอ ขบวนแห่นางนพมาศ ขบวนแห่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และขบวนแห่ของภาคเอกชน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงเย็น ผู้คนจะมาเที่ยวชมขบวนแห่กันมากมายตั้งแต่บ่ายแล้ว ส่วนงานช่วงกลางคืนก็จะมีการออกร้านพร้อมทั้งการประกวดต่างๆอีกหลายเวที จากประสบการณ์ที่เคยถือกระทงรอตั้งแต่ตอนบ่ายจนไปลอยจริงในช่วงค่ำ ยิ่งกว่านั้นต้องแหวกฝ่าฝูงชนลงท่าน้ำเพื่อปล่อยกระทงลงน้ำ เสี่ยงกับการตกน้ำตกท่าและโดนธูปเทียนทิ่มหน้า ปีนี้เราคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมดเพื่อผู้ใหญ่และเด็ก เราเตรียมไปเที่ยวและลอยกระทงแบบชิวๆ โดยพวกเราจะไปลอยกระทงก่อนวันจริง 1 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่อาจจะติดขัดและปัญหาจากจำนวนผู้คนทั่วทุกสารทิศที่ตั้งใจจะมาร่วมงาน เราเอาประสบการณ์จริงที่เคยมา ทำให้ปีนี้เป็นปีที่เที่ยวงานได้สนุกและไม่เหนื่อยเลย ถ้าไม่เชื่อก็ลองตามผมมา เกริ่นกันมาพอสมเควรแล้ว มาดูการเดินทางจริงกันดีกว่า เราเริ่มออกเดินทางจากนนทบุรี เวลาประมาณ 22:00 ของคืนวันที่ 7 ไปถึงบ้านทุ่งเสลี่ยม ที่หมายปลายทางในการพักครั้งนี้ คือบ้านแม่ศรี ณ บ้านทุ่งเสลี่ยม อำเภอเล็กๆแต่น่ารัก เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ จุดหมายปลายทางที่น้อยคนจะรู้จัก ความสงบในธรรมชาติและท้องทุ่งนาที่ทำให้ใจมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ "ทุ่งเสลี่ยม" ถึงจุดหมายปลายทาง ใช้เวลาขับรถอย่างไม่เร่งรีบพร้อมแวะปั้มพักยืดขา 2 รอบ แค่ 7 ชั่วโมง เราก็ถึงทุ่งเสลี่ยมประมาณตี 5 ของวันถัดมา ต้องขอบคุณพี่ป้อมและแม่ศรี คนดีศรีทุ่งเสลี่ยมที่ต้อนรับขับสู้พวกเรา จัดเตรียมที่นอนหมอนมุ้งให้แก่พวกเราอย่างดี และเนื่องจากเราได้บอกแม่ศรีล่วงหน้าเป็นเดือน จึงมีการทำหมอนยัดนุ่มใหม่เอี่ยมไว้คอยท่า อู้ยยย...น่ารักอะไรเบอร์นั้นครับคุณแม่ เพื่อพักผ่อนก่อนออกไปทำภารกิจแรกของวันนี้ หลังจากการงีบหลับพักสายตากันระยะหนึ่ง ภาระกิจแรกที่พวกเราตั้งใจมาประเดิมคือ กินครับ แต่เนื่องจากเราเคยมาสุโขทัยหลายครั้งแล้ว ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ซึ่งเคยเป็นซิกเนเจอร์แรกๆที่เราต้องไปลองทุกครั้งที่มาเยืยน อาจจะเริ่มจำเจเกินไปสำหรับกลุ่มของเรา ดังนั้นมาครั้งนี้เราจึงขอเปลี่ยน และของอร่อยที่เราตั้งใจจะไปชิมในครั้งนี้ ก็คือออ.....(เหมือนตะโกนอยู่ในรายการโชว์สักรายการหนึ่ง) ข้าวเปิ๊ปยายเครื่อง บ้านนาต้นจั่น หนึ่งเดียวในโลกไม่มีสาขา หลายคำบรรยายบอกว่าถ้าใครมาสุโขทัยแล้วยังไม่ได้ลองกินถือว่าพลาดมาก บรรยายกาศโดยทั่วไปก็คือบ้านเรือนไทย ที่มีสวนกล้วยอยู่ใกล้ๆ ไปนั่งกินอาหารท่ามกลางดงกล้วย ก็สดชื่นประมาณนี้จากบ้านทุ่งเสลี่ยมใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ระหว่างทางก็ชมทุ่งนาเขียวๆเหลืองๆกันไปครับ สวยงามมากเพราะต้นข้าวกำลังเริ่มแก่ได้ที่พร้อมจะเก็บเกี่ยว แล้วก็เป็นตามความคาดหวัง อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง และราคาไม่แพงเลย รายการละ 25 บาทเท่านั้นเอง ประกอบกับพนักงานทุกคนน่ารัก อัธยาศัยดี คุยสนุกตั้งแต่พนักงานเสริฟไปจนถึงแม่ครัว ทั้งที่ลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย ทุกคนก็ยังทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่มีอิดเอือน ขอบคุณและขอโทษตลอดเวลา ประทับใจกว่าอาหารก็คือคนที่นีแหละจ้า... ข้าวเปิ๊บ วิธีการทำจะคล้ายกับการทำข้าวเกรียบปากหม้อ แล้วห่อผักไว้ด้านใน เสริฟพร้อมไข่ดาวและหมูแดงแผ่นใหญ่ มีน้ำซุปกลมกล่อมพอขลุกขลิก รสชาติละมุ่นละม่อน หอมกลิ่นน้ำซุป ก๋วยเตี๋ยวแบ อันนี้เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งแบบสุโขทัยนะ เพียงแต่เสริฟมาบนใบตอง หมี่พัน คือเส้นหมี่ลวกปรุงรส ห่อด้วยข้าวแคบ (แผ่นแป้งลักษณะคล้ายแผ่นโรตี) ในภาพมี 2 รสชาติ สีขาวออกหวาน สีน้ำตาลออกเผ็ดนิดๆ พร้อมของกินของฝาก ผักสดจากสวนหลากหลายรายการ ราคาไม่แพงเลย ผักกูดที่นางแบบเราถือโชว์เนี่ยกำละ 10 บาทเท่านั้นเอง ในเมืองหาแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ พร้อมทั้งได้ชมวิธีการทำก๋วยเตี๋ยวด้วยเตาถ่านแบบใกล้ชิดติดรั้วจริงๆ นะจะบอกให้ และเยี่ยมชมบ้านเรือนไทยโบราณ บริเวณชั้น2 ของบ้านยายเครื่อง หลังจากอิ่มหมีพี่มันกันเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มตะลอนทัวร์ แวะชมท่องเที่ยวต่างๆในบริเวณบ้านนาต้นจั่น ชุมชนบ้านนาต้นจั่น ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน จะเดิน จะขี่จักรยานหรือจะนั่งรถไปก็แป๊บเดียวถึงชุมชนบ้านนาต้นจั่นคือหมู่บ้านโฮมสเตย์และแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว สำหรับคนที่สนใจอยากพักที่บ้านนาต้นจั่นสามารถเข้าพักกับบ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าร่วมกับชุมชน โดยทางชุมชนมีโปรแกรมที่พักพร้อมกิจกรรมเตรียมไว้มากมาย ลองดูรายละเอียดได้ที่นี่ แต่สำหรับพวกเราแค่การถ่ายรูปและเช๊คอินก็ฟินแล้วครับต้นข้าวกำลังออกรวง ใกล้เก็บเกี่ยวได้แล้ว โฮมสเตย์ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน ผ้าหมักโคลน บ้านนาตันจั่น จ.สุโขทัย ที่นี่เราจะเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ และขั้นตอนการผลิตผ้าหมักโคลน(ไม่ได้ดูนะ เพราะวันอาทิตย์เค้าไม่เปิด) ของฝากขึ้นชื่อจากสุโขทัย ก่อนตบท้ายด้วยของหวาน น้ำแข็งใสราดด้วยน้ำแดง ของกินแก้ร้อนสัญญาติไทย จากนั้นก็กลับที่พัก เพื่อพักผ่อนกันตามอัธยาศัย โดยหลังที่พักเป็นนาข้าวกำลังเขียวได้ที่ ส่วนข้างๆบ้านเราก็มีพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ กินกันไปคุยกัน ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาก็แวะเข้ามาคุยไม่ขาด อาจจะด้วยคราวนี้เรามีน้องโซเฟียมาด้วย หญิงสาวชาวต่างชาติที่หน้าตาน่ารัก จึงเป็นทีสนใจของคนในหมู่บ้าน แต่...เอาจริงๆนะ มาทีไรก็คนที่นี่แวะมาทักเยอะทุกที เหมือนมากับพักกับคนทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านทุ่งเสลี่ยมคงดีใจและแปลกใจที่เห็นชาวกรุงมาหลงทุ่งนาแถวนี้... วันที่ 2 โด่แม่ถัน เป็นอีกจุดมุ่งหมายที่เราตั้งใจจะมาชมให้ได้เพราะห่างจากที่พักไม่มากเลย เรามาพักที่ทุ่งเสลี่ยมหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้จัก แม้แต่คนในพื้นที่ไม่รู้ เราก็เพิ่งรู้จักจากโลกโซเชียลแท้ๆ ขี่รถมอเตอร์ไซด์เพียงไม่ถึง 10 นาทีจากบ้านก็ถึงด้านหลังของโรงเรียนเชิงผา จุดเริ่มต้นเพื่อการเดินขึ้นโด่แม่ถันกันแล้ว แต่ด้วยความที่เพลียจากการเดินทางเมื่อวานและทางเดินขึ้นเขาที่ค่อนข้างชันทำให้หลายคนเปลี่ยนใจไม่มา และสุดท้ายจึงเหลือผู้กล้าเพียง 2 คน เอาก็เอาวะ...่ตั้งใจมาอยู่แล้วนี่ และถึงแม้เราจะตื่นตั้งแต่ตี 5 แต่ด้วยความที่เออละเหยกันไปหน่อย ขี่มอเตอร์ไซด์ชมทุ่งนาหมาแมว ทำให้เมื่อเดินทางไปจนถึงจุดชมวิว พระอาทิตย์ก็ได้โผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้ว แต่...แต่กระนั้นความสวยงามของทัศนียภาพตรงหน้าก็ไม่อาจประมาณได้นะครับ ด้วยวิวมองรอบทิศทาง 360 องศา แสงยามเช้าจากพระอาทิตย์ยามที่สาดส่องผ่านก้อนเมฆ หมอกที่เคลื่อนคล้อยมาตามแนวทุ่งนา สายลมที่พัดผ่านแผ่วเบา ไม่หนาวเย็นจนเกินไป อากาศยามเช้าที่สดชื่น นี่คือรุ่งอรุณแห่งความสุข ที่มาต้อนรับวันใหม่ที่สดใสจริงแท้แน่นอน เราชื่นชมบรรยากาศจนสาแก่ใจ ประกอบกับมีเสียงนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มกำลังปีนเขาขึ้นมา ทำให้เราตัดสินใจลงไปก่อนดีกว่า เพราะพื้นที่ค่อนข้างจำกัด การอยู่กันหลายๆคนอาจไม่ค่อยสะดวก (ที่วงกลมสีแดง ข้างบนคือจุดชมวิว ถ่ายจากสนามหน้าโรงเรียนเชิงผา) ปล. ผมมีแยกบทความเกี่ยวกับโด่แม่ถันด้วย สำหรับผู้ที่สนใจการปินเขาหรือ Hiking แบบง่ายๆ หลังจากเก็บเกี่ยวภาพและบรรยากาศจนหน่ำใจแล้ว เราก็เดินทางลงเพื่อกลับไปเตรียมตัวทำภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการมาสุโขทัยในครั้งนี้ คือการเตรียมตัวทำกระทงเพื่อไปลอยในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย แต่ด้วยความที่เรามาได้ถูกฤดูกาล โชคดีจึงบังเกิดแก่พวกเรา เราได้พบกับกลุ่มนักเรียนและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังทำการเกี่ยวข้าวพอดี กิจกรรมพื้นบ้านหรือเรียกว่า "การลงแขก" การที่คนในพื้นที่หลายๆคนมาร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจกรรมเกี่ยวข้าว ในการนี้ต้องขอขอบคุณคุณแอนและทีมงานที่ต้อนรับและเชิญชวนให้กลุ่มคณะของเราได้ร่วมกิจกรรมด้วยอย่างสนุกสนาน แปลงนาบุญ บ้านอิ่มบุญ ความจริงเราตั้งใจจะไปชมทุ่งนาข้าวสีทองกันอยู่ เพียงไม่คาดคิดว่าจะโชคดีได้มีโอกาสเปิดประการณ์ใหม่ๆกับกิจกรรมพื้นบ้านแบบนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเรามากๆ นาข้าวแปลงนี้เป็นความตั้งใจของคุณแอน (อาสาสมัครเพื่อพัฒนาชุมชน) ที่ตั้งใจปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมีใดๆเลย เพื่อจำหน่ายแก่ผู้ที่สนใจ และนำรายได้เพื่อกลับมาใช้ในการบำรุงพุทธศาสนา ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ภาพการเกี่ยวข้าวเป็นครั้งแรกของทุกคน ก็จะงกๆเงิ่นๆกันหน่อย สนุกสนามกันพอหอมปากหอมคอ ก็เป็นเวลาของการอำลา โดยทางคุณแอนได้บอกบุญสำหรับผู้สนใจอยากไปร่วมกิจกรรม ดำนาในรอบต่อไปก็ขอเชิญติดตามได้ที่เฟสบุ๊ก แปลงนาบุญ บ้านอิ่มบุญ นะครับ ก่อนที่เราจะได้ไปเริ่มกิจกรรมรอบต่อไป เราก็แวะกลับไปที่บ้านแม่ศรี บุกสวนและครัว เก็บผักข้างรั้ว ฝรั่งและอ้อยหลังบ้าน มาเติมพลังกันก่อน ไฮไลท์ที่เราตั้งใจจัดมาแต่แรก คือ "การทำกระทงใบตอง" ซึ่งเราก็จะมาทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะมีสวนกล้วยอยู่ข้างบ้าน ดอกไม้ประดับก็ไปเดินเก็บกันรอบๆหมู่บ้านได้ แต่ปีนี้โชคดีอีกแล้วครับ เพราะเราได้รับความเมตตาจากอาจารย์แม่ ผู้ประดิษฐ์บายศรีถวายหลวงพ่อศิลา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านทุ่งเสลี่ยมที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยจะเป็นท่านเป็นผู้ทำบายศรีในงานสักการะหลวงพ่อศิลา ซึ่งจะจัดในทุกวันที่ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี และในเวลาช่วงต่อมาจากนี้ทุกคนจึงได้เสมือนกลับไปเป็นเด็กนั่งพับเพียบทำกระทงกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งบอกได้เลยว่ากว่าจะได้กระทงแต่ละใบไม่ง่ายเลยจริงๆ และผลงานที่ได้ ก็ไม่ไก่กานะจ๊ะ เป็นที่น่าประทับใจมากๆ ขอบคุณมากอาจารย์ครับ หลังจากที่ทุกคนได้ทำกระทงใบตองของตัวเองเรียบร้อย ก็เข้าสู่โหมดการแต่งตัวเพื่อไปงานลอยกระทง แล้วก็..ไม่มีใครยอมน้อยกว่ากันเลยทีเดียว ชุดเสื้อผ้าที่ตระเตรียมมาอย่างดี เพื่อที่เราจะได้มีรูปถือกระทงสวยๆ เราเตรียมตัวออกจากที่ทุ่งเสลี่ยมเพื่อขับรถเข้าไปในบริเวณที่จัดงานตั้งแต่ 4โมงเย็น ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสถานที่จัดงาน รถก็ยังไม่มากเท่าไหร่ โดยครั้งนี้เราตั้งใจจะไปลอยกระทงตั้งแต่หัววัน เราจึงเดินมุ่งหน้าไปที่สระน้ำหน้าบริเวณอนุเสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง เพื่อจะได้ถ่ายรูปและลอยกระทงได้อย่างสบายใจไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร ลอยกระทงช่วงเย็นก็ดีนะครับ คนลอยไม่เยอะ มีเวลาจัดที่ท่าหามุมถ่ายรูปสวยๆได้ง่ายด้วย จากนั้นเราก็เดินชมบรรยากาศสวยๆรอบบริเวณงาน และก็เดินหาของกิน ซึ่งมีขายอยู่มากมายในบริเวณงาน จนถึงช่วงประมาณ 19:30 พวกเราก็รีบเข้าไปจองที่นั่งแถวหน้าเพื่อชมการแสดงแสงสีเสียง ประหนึ่งว่าเราคือแขกวีไอพี เราปูเสื่อทั้งนั่งทั้งนอนอย่างสบายอารมณ์จนจบการแสดง ซึ่งจะปิดท้ายด้วยโคมลอยและการยิงพลุ ช่างเป็นค่ำคืนที่น่าประทับใจ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข และเหนือกว่าความคาดหมายในหลายๆด้าน เป็นการร่วมงานประเพณีลอยกระทงที่พวกเราประทับใจสุดๆ ขอแนะนำให้ทุกท่านหาโอกาศมาร่วมงานลอยกระทงที่สุโขทัยสักครั้งหนึ่ง แล้วจะพบว่าสุโขทัยมีอะไรดีมากกว่าที่คิด...