“ประเพณีลือก้อง...ทองโบราณ...ย่านผ้าซิ่น...ถิ่นมรดกโลก” โอโห้...คำขวัญประจำอำเภอนี้เขาเด็ดจริงๆ ครับ (เพราะเป็นคำขวัญประจำอำเภอบ้านเกิดผมเองครับ แฮร่ๆ) สำหรับใครที่อยากไปชิลแบบวิถีสโลไลฟ์ ชอบท่องเที่ยวประเทศไทย รักที่จะดื่มด่ำกับวัฒนธรรมและกลิ่นไอของประเพณีพื้นบ้านแล้วละก็ ที่อำเภอนี้ เรียกว่าเป็นอำเภอเล็กๆ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า เหมาะแก่การไปสัมผัสไออุ่นของเรื่องราวที่มีมนต์ขลัง ที่เรียกได้ว่า...ทั้งแปลก ทั้งน่าค้นหามากที่สุดอำเภอหนึ่งเลยครับ เพราะแค่จากคำขวัญประจำอำเภอที่ผมได้เกริ่นไปเมื่อข้างต้นนี้แล้ว จะต้องมีอะไรที่มากกว่าแค่คำขวัญแน่นอน หากเล่าทั้งอำเภอก็คงไม่จบง่ายๆ เอาเป็นว่าบทความนี้เรามาเริ่มจากประโยคแรกของคำขวัญกันเลยดีกว่าครับกับประโยค “ประเพณีลือก้อง” ประเพณีอะไรกันน้า...ที่โด่งดังถึงขนาดได้รับการเคลมว่าเป็นประเพณีที่โด่งดังขนาดนั้น เอาเป็นว่าเราต้องลองมาติดตามกันต่อแล้วละครับ และประเพณีไฮท์ไลท์ของเราคือ!!...ประเพณีบวชนาค พ่าม!!! ใช่ครับมันแปลกตรงไหนที่ไหนก็บวชนาคใช่ไหมละครับ แต่เดี๋ยวก่อนครับ การบวชนาคที่นี่ไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน เพราะประเพณีการบวชนาคของที่นี่มีความ Unique สุดๆเลยครับ เนื่องจากเอกลักษณ์ประเพณีบวชนาคของที่นี่เขาจะมีการแต่งหน้า เขียนคิ้ว ทาปาก มีการแต่งตัวให้กับนาค ใส่แว่นดำด้วยคลูไหมละครับ และจะมีการแห่ขบวนรอบชุมชนโดยนาคจะอยู่บนหลังช้าง เป็นที่มาของชื่อเรียกของประเพณีว่า “บวชช้างแห่นาค” ที่โด่งดังและหาดูได้ยากอีกประเพณีหนึ่งของไทย ผมแนะนำให้ทุกท่านมาสัมผัสดูซักครั้งแล้วท่านจะรู้ว่าประเทศของเรามีความหลากหลายของเรื่องราว ประเพณี วัฒนธรรม ที่งดงามมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยครับ โดยประเพณีบวชช้างแห่นาคนี้ 1 ปีจะมีการจัดเทศกาลนี้ 1 ครั้ง นั่นคือ ก่อนช่วงเทศกาลสงกานต์ ในทุกๆวันที่ 7 เมษายนของทุกปี ซึ่งแต่เดิมแล้ววันแห่จะมีขึ้นในวันแรม 3 ค่ำ เดือน 4 และบวชในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 4 ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นทุกวันที่ 7 ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 และวันบวชเป็นวันที่ 8 เมษายนของทุกปีซึ่งก่อนวันบวชหนึ่งวัน สตรีชาวไทยพวน (ชื่อเรียกของกลุ่มชนที่นี่ครับ) จะชวนกันไปเที่ยวบ้าน คือ ไปบอกบุญหรือไหว้วานกันให้มาช่วยงานบวชนั่นเองครับ ซึ่งในประเพณีนี้จะไม่ใช่การบวชนาคเดี่ยวๆ เท่านั้น จะเป็นการบวชนาคหมู่ถ้าท่านได้มาเที่ยวจะเห็นขบวนที่สนุกสนาน และช้างหลายตัวที่ถูกแต่งแต้มสีสัน เดินแห่เป็นขบวนเป็นแนวยาว และนักท่องเที่ยวยังสามารถร่วมแจมกับขบวนแห่ได้อีกด้วยครับ หลายๆ ท่านคงสงสัยที่มาที่ไปของการบวชนาคโดยใช้ช้างและการแต่งหน้า เขียนคิ้ว ทาปาก และรูปแบบของเครื่องแต่งกายรวมไปถึงการใส่แว่นดำของประเพณีแห่นาคของที่นี่กันใช่ไหมครับ เรามาเริ่มจากการนำช้างมาร่วมขบวนแห่นาคนี้กันก่อน มีหลากหลายความเชื่ออยู่เหมือนกันครับ แต่หลักๆ แล้วจะอิงตามหลักของนิทานชาดกชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า นั่นคือชาติที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรซึ่งได้มอบช้างปัจจัยนาเคนทรที่เป็นช้างเผือกคู่บารมีของเมืองแก่พราหมณ์ทั้ง 8 จากแคว้นกลิงคราษฎร์ที่มาทูลขอเพื่อเป็นมงคลแก่บ้านเมืองที่ประสบทุพภิกขภัย ความเชื่อนี้เกี่ยวข้องกับอีกตำนานหนึ่ง คือ ตอนที่พระเจ้ากรุงสัญชัย พระราชบิดาของพระเวสสันดรขอให้พระเวสสันดรกลับมาเป็นกษัตริย์ตามเดิมนั้น พระองค์ได้จัดขบวนช้างม้าและรถประดับประดาเหมือนออกศึกสงครามให้สมเกียรติเพื่อไปรับพระเวสสันดรและพระนางมัทรีขบวนแห่ขับด้วยมโหรีและการละเล่นต่าง ๆ เป็นการเฉลิมฉลองนั่นเองครับ ส่วนการแต่งหน้าทาปาก การแต่งกาย รวมไปถึงการใส่แว่นดำนั้น เชื่อว่าเป็นรูปกายของมนุษย์ก่อนที่จะสละทุกอย่างเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่พระธรรม และแว่นดำเปรียบเสมือนความมืดบอดของมนุษย์ก่อนที่จะบรรลุเห็นแสงธรรมนั่นเองครับ ประเพณีของไทยเรามีเสน่ห์อันชวนหลงใหลอยู่ทั่วทุกมุมของประเทศ เพราะไทยเรามีสมบัติอันล้ำค่าและร่ำรวยมากกว่าวัตถุนิยมภายนอกอันดับต้นๆของโลก นั่นคือไทยเราร่ำรวยวัฒนธรรมนั่นเองครับ ลองหันมามองไทยมุมใหม่ๆ กันดูสิครับ ยังเหลือเรื่องราวอีกมากมายให้เราค้นหาได้ไม่มีหมด และสำหรับใครที่ชื่นชอบและต้องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบนี้แล้วละก็ ผมรับรองครับว่านอกจากจะได้ร่วมงานประเพณีที่สนุกสนานที่สำคัญยังแฝงไปด้วยด้วยคติธรรม คำสอน ของพุทธศาสนา สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่และประเพณีหนึ่งที่ผมแนะนำให้ทุกท่านควรลองไปสัมผัสให้ได้ซักครั้งในชีวิต รับรองครับว่าท่านจะไม่ผิดหวังและได้อะไรกลับไปอย่างแน่นอนครับ ;) ขอบคุณภาพบางส่วนจาก website และ Facebook fan page : Checkinศรีสัชนาลัย