อื่นๆ

เรื่องสยอง : เธอ(ที่ฉันรัก)

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เรื่องสยอง : เธอ(ที่ฉันรัก)

        เมื่อครั้งที่ผมอายุได้ 15 ปี ครอบครัวเราก็ต้องย้ายจากชลบุรีมาอยู่ที่สุพรรณตามหน้าที่การงานของพ่อที่รับราชกาล จริงๆครอบครัวเราก็ย้ายกันบ่อยๆอยู่แล้ว บ้านที่เราย้ายมาอยู่ อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนักเป็นห้องแถวสองชั้น ในระแวกนั้นส่วนมากจะเป็นคนจีนซะส่วนใหญ่ ด้วยความที่ครอบครัวเรามีพี่น้อง5คน รายได้จากงานราชกาลของพ่อก็เลยไม่พอค่าใช้จ่าย พี่น้องแต่ละคนจึงต้องออกไปหารายได้เพิ่ม ตัวผมจะไปรับน้ำเต้าหู้มาเดินเร่ขายก่อนไปโรงเรียน โรงเรียนที่ผมเรียนเป็นโรงเรียนไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก

เช้าวันหนึ่งขณะที่ผมเดินขายน้ำเต้าหู้ไปบนถนน ปกติถ้าน้ำเต้าหู้เหลือผมก็จะไปตั้งหน้าบ้านให้แม่ขายต่อ วันนี้ขายดีจวนจะหมดเต็มที่แล้ว เลยว่าจะเดินกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน กำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน มันเป็นเสียงที่ยังคงก้องอยู่ในหูผมจนถึงทุกวันนี้

Advertisement

Advertisement

"น้ำเต้าหู้!!"

เด็กสาวคนหนึ่งในชุดนักเรียนตะโกนเรียกผม ผมหยุดรถเข็นก่อนเธอจะเดินเข้ามา แววตาที่แสนสดใสคู่นั้นผมยังจำไม่มีวันลืม ผมประหม่าไปหมดระหว่างที่เธอเดินเข้ามา บ้านเธอเป็นร้านขายของชำ อยู่กันกับแม่และสามีใหม่ของแม่ ผมสังเกตุจากตัวอักษรที่ปักอยู่บนอกเสื้อของเธอจึงรู้ว่าเราอยู่โรงเรียนเดียวกัน เมื่อขายให้เธอเสร็จผมก็รีบกลับบ้านเตรียมตัวไปโรงเรียนเนื่องจากสายมากแล้ว

เช้าวันนั้นผมหยุดคิดเรื่องเธอไม่ได้เลยจริงๆ เวลาที่เราแอบชอบใครสักคนมันช่างเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานเหลือเกิน ผมสอบถามจากเพื่อนจึงได้ความมาว่าเธอเป็นรุ่นพี่ผม1ปี เธอชื่อน้ำตาล แถมมีแฟนแล้วด้วย พอรู้แบบนี้ผมยิ่งไม่กล้าคุยหรือแม้แต่คิดจะจีบเธอเลย แต่เด็กก็คือเด็ก พอเพื่อนๆผมรู้ว่าผมแอบชอบพี่น้ำตาลมันกันพากันล้อและแซวทุกครั้งที่พี่เค้าเดินผ่านมา ผมมารู้ที่หลังว่าแฟนพี่น้ำตาล เป็นเด็ก มส.6 คนดังประจำโรงเรียนแต่เป็นในเรื่องที่ไม่ดีนัก เป็นเด็กเกเรท้าตีท้าต่อยไปทั่ว มันยิ่งทำให้ผมกลัวหนักเข้าไปใหญ่เลย

Advertisement

Advertisement

เวลาผ่านพ้นไปหลายต่อหลายวันผมก็ยังไม่กล้าคุยกับเธอทั้งๆที่เธอก็จะเรียกซื้อน้ำเต้าหู้ผมทุกวัน ใจนึงก็อยากจะชวนคุย ใจนึงก็ไม่กล้า ผมเลยมีความคิดว่าจะใส่ชุดนักเรียนออกไปขายตอนเช้า เผื่อเธอเห็นว่าอยู่โรงเรียนเดียวกันแล้วจะชวนผมคุยบ้าง เพราะเธอคงจำผมไม่ได้ แล้วก็เป็นไปตามคาด


"อ้าว เรียนที่โรงเรียนนี้หรอ"


เธอถามผมระหว่างรอซื้อน้ำเต้าหู้ ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ได้แต่พยักหน้ารับงึกๆ



"อยู่มอไหนแล้ว ห้องไหน ถึงว่าอยู่คุ้นหน้าจัง"



เธอชวนผมคุยต่อ ผมก็ตอบคำถามไปตามเรื่องตามราว แต่ก็ยังไม่กล้าชวนเธอคุยอยู่ดี รู้แต่ว่าวันนั้นผมยิ้มไม่หุบไปทั้งวัน แต่พอคิดเรื่องที่เธอมีแฟนแล้ว ผมก็ใจเสียทุกครั้ง แต่ก็พอมีหวังขึ้นมาบ้างในรอบหลายวันที่ผ่านมา

เธอชวนผมคุยทุกวัน จนเราเริ่มจะสนิทกัน แต่ถึงอย่างนั้นพอเจอหน้ากันที่โรงเรียนผมก็ไม่กล้าคุยกับเธออยู่ดีทั้งกลัวแฟนเธอ และเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะซบตา แต่พี่น้ำตาลก็เข้ามาชวนผมคุยที่โรงเรียนหลายต่อหลายครั้ง จากคนที่รู้เรื่องผมชอบพี่น้ำตาลมีแค่กลุ่มเพื่อน ก็เริ่มขยายวงออกไปจนทุกคนที่รู้จักผมรู้เรื่องนี้กันหมด

Advertisement

Advertisement



แล้วเรื่องก็ไปเข้าหู พี่โจ!! แฟนของพี่น้ำตาล



ในวันนั้นผมช่วยครูเขียนกระดานจนเย็นกับเพื่อนผมอีกคนไอชัย หลังจากงานที่ครูหมอบหมายเสร็จเรียบร้อย ผมกับไอชัยก็พากันเดินกลับบ้าน ชมนกชมไม้ไปเรื่อย แต่เจ้ากรรมดันพาให้มาเจอกับกลุ่มของพี่โจที่นั่งมั่วสุมกันอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าร้านขายของชำ ผมพยายามพาไอชัยเดินผ่านตรงนั้นมาให้เร็วที่สุด และไม่สบตาใครทั้งสิ้น



"เห้ย!! มึงอะ"



เสียงของพี่โจตะโกนไล่หลังมาทำผมหยุดชะงักไปเพียงครู่


"มึงจะไปไหน"



ผมค่อยๆหันไปอย่างช้าๆ แต่ยังไม่ทันหันไปสุดดี หมัดขวาของพี่โจก็ตรงเข้ามาที่เบ้าตาผม จนผมล้มหงายท้องตึงไป ไอชัยที่ยืนมองอยู่ได้แต่ก้มหน้ากลัวจะโดนลูกหลงไปด้วยอีกคน



"มึงอย่ามายุ่งกับแฟนกูอีกนะ ไอเด็กเมื่อวานซืน"



พี่โจตะโกนด่าและชี้หน้าผมที่นอนหงายท้องอยู่ ก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อน ไอชัยดึงผมลุกขึ้นและรีบเดินหนีออกมาจากตรงนั้น วันนั้นผมร้องไห้ทั้งคืน แค้นก็แค้น เจ็บก็เจ็บ แถมกลับบ้านมาโดนพ่อแม่ด่าอีกที่เบ้าตาเขียวช้ำ มันทำให้ผมเข้าใจคำว่าเจ็บใจที่แท้จริง มันเจ็บข้างในจริงๆด้วย!

หลังจากวันนั้นผมเริ่มห่างจากพี่น้ำตาลเพราะกลัวพี่โจ เวลาเจอกันที่โรงเรียนผมก็จะเดินหนี เวลาซื้อน้ำเต้าหู้ผมก็ถามคำตอบคำ แต่ในใจน่ะหรอ ยังรักสุดหัวใจ

เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ และแล้ววันแห่งความรักก็ไกล้เข้ามา วันวาเลนไทน์ ที่โรงเรียนผมคณะครูอาจาร์ยก็จะถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงทำมาหากิน เพราะครูจะหาดอกไม้ สติกเกอร์รูปหัวใจ โปสการ์ด มาขายนักเรียน ส่วนตัวผมน่ะเหรอ ไม่มีตังซื้อกับเค้าหรอก แต่โชคยังดีมีดวงเรื่องความรักขึ้นมาหน่อย เฒ่าแก่เจ้าของน้ำเต้าหู้ที่ผมไปรับมาขาย แกเก็บบ้านและเจอตุ๊กตาของลูกสาวแกสมัยเด็กๆลังใหญ่ เลยเอามาให้ผมเพราะเห็นว่าผมมีน้องสาว ผมคัดตัวที่ใหม่ที่สุดเพื่อที่จะเอาไปให้พี่น้ำตาลแบบเงียบๆ จำได้ว่ามันเป็นตุ๊กตาหมีที่แถมมากับสินค้าอะไรบางอย่างยังไม่ได้แกะจากห่อด้วยซ้ำ ที่จำได้เพราะที่เสื้อของมันจะมีโลโก้ยี่ห้ออยู่ ผมก็จัดแจงถอดเสื้อมัน ทำเหมือนว่าเป็นตุ๊กตาที่ผมซื้อมาเอง แต่ทำไงได้ผมกลัวพี่โจจริงๆ จึงไม่กล้าเอาไปให้เธอกับมือ จึงตัดสินใจเอาไปแอบไว้ใต้โต๊ะเธอ ไม่ได้หวังให้เธอรู้ว่าใครเป็นคนให้ด้วยซ้ำ

วันนั้นผมมีความสุขทั้งวัน หลังจากเตะบอลกับเพื่อนเสร็จก็เดินกลับบ้านกับไอชัยเจ้าเก่า แต่ในระหว่างที่เดินผ่านโรงอาหาร ไอชัยมันก็สังเกตุเห็นพี่น้ำตาลนั่งร้องไห้อยู่เงียบๆคนเดียว ในมือจับตุ๊กตาหมีที่ผมแอบเอาไปให้ ไอชัยมันเลยบอกให้ผมเข้าไปถามเธอว่าเป็นอะไร เถียงกันอยู่พักใหญ่ ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ โดยมีไอชัยเดินตามมาติดๆ



"พี่น้ำตาลเป็นอะไรหรือป่าวครับ" ผมเอ่ยถามแบบกล้ากลัวๆ



"ไม่เป็นไรจ้ะ" เธอตอบก่อนจะเอามือปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเดินหนีไป ปล่อยผมกับไอชัยยืนงงอยู่ตรงนั้น มารู้ที่หลังว่าเธอพึ่งเลิกกับพี่โจ และในวันนั้นพี่โจ ขอเพื่อนสนิทพี่น้ำตาลเป็นแฟน

พอรู้อย่างนั้นใจนึงก็สงสาร อีกใจก็คิดว่าได้โอกาศแล้ว ในวันรุ่งขึ้นที่ผมไปขายน้ำเต้าหู้ ก็ได้เจอกับเธอ สีหน้าของเธอดีกว่าเมื่อวาน แต่แววตาดูเศร้าๆอย่างบอกไม่ถูก ผมชวนเธอคุยเรื่องงานกีฬาสีที่โรงเรียนที่เธอเป็นดัมเมเยอร์ สีหน้าของเธอเลยดูดีขึ้นมานิดนึง ผมจึงรวบรวมความกล้าบอกกับเธอไปเรื่องตุ๊กตาหมี ในวันนั้นผมเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ทั่งโล่งทั้งดีใจ ที่ได้บอกความจริง

น้ำตาล
หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มดีขึ้นทุกวันๆ จนเธอเดินไปโรงเรียนและเดินกลับบ้านกับผม บางวันที่เธอตื่นเช้า เธอก็จะเดินไปเป็นเพื่อนขายน้ำเต้าหู้ในตอนเช้า จนผมเริ่มรู้จักกับแม่ของเธอ ความรักในวัยนั้น มันช่างสดใสซาบซ่าน เป็นความรักที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้จริงๆ มันทั้งตราตรึงใจและประทับใจอย่างบอกไม่ถูก วันไหนที่เธอนั่งขายของที่บ้านของเธอ ผมก็จะไปนั่งเล่นด้วย แม่ของเธอมีอะไรให้ผมหยิบจับช่วยได้ผมก็จะช่วย



ความรักวัยใสของเราสองคนผ่านไปจนเกือบจะครบเดือน ก็ถึงเวลาที่เรารอคอย นั่นก็คือปิดเทอม ช่วงหลังๆมานี้เธอดูแปลกไปที่เวลาอยู่คนเดียว เธอจะซึมๆเศร้าๆ แต่เวลาเจอผมเธอก็จะเปลี่ยนสีหน้าในทันที อย่างกับคนละคน แต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร



จนกระทั่งวันหนึ่ง เป็นวันที่จะมีหนังกลางแปลงมาฉายที่งานวัด ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมและน้ำตาลไม่ไกลนัก ผมจึงชวนเธอไป เธอก็ตอบตกลง เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่ปิดเทอมแล้ว ผมจึงไปหาเธอที่บ้านแต่เช้าเหมือนประจำเพื่อช่วยเธอขายของ แล้วผมก็สังเกตุเห็นความผิดปกติของเธอ ที่ดูช่างเหงาหงอยเศร้าซึมเหลือเกิน บางทีก็นั่งใจลอย เหมือนคนมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมตะล่อมถามแต่เธอก็ไม่ยอมบอก เงียบผิดปกติ ถามคำตอบคำ พอถึงช่วงเที่ยงผมก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน จึงนัดหมายกับพี่น้ำตาลเวลา6โมงเย็น ที่บ้านผมเพราะเป็นทางผ่านไปวัด


พอเริ่มพบค่ำเราสองคนก็เดินจูงมือกันไปที่วัด ผมพยายามชวนเธอคุยให้หายเครียด แต่เธอก็จะยิ้มแย้มแปปๆและกลับไปเป็นเหมือนเดิม จำได้ว่าในวันนั้นหนังที่ฉายเรื่อง อย่าแหย่เสือหลับ ภาพยนตร์คาวบอยที่ค่อนข้างตลก แต่กลับไม่ทำให้พี่น้ำตาลขำได้เลย เธอนั่งเหม่อลอย จนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงเริ่มชวนเธอคุย



จริงๆผมตัดสินใจมานานแล้วว่าจะขอเธอเป็นแฟนจริงๆจังๆในวันนี้ พอหนังจบ เราก็พากันเดินหาอะไรกินในงานวัด ผมพาเธอขึ้นชิงช้าสวรรค์และรวบรวมความกล้าทั้งหมด บอกความในใจทั้งหมดที่ผมมี ผมยังจำช่วงเวลานั้นได้ไม่มีวันลืม เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เงียบไปครู่ใหญ่ จนทำให้ผมคิดไปเองว่า เธออาจจะไม่ได้คิดอะไรกับผม

หนังกลางแปลง
ในระหว่างทางกลับบ้านที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีบทสนทนาใดๆจากเราสองคน ถึงแม้ผมจะพยายามชวนคุยก็ตาม จนกระทั่งเราเดินมาหยุดที่หน้าบ้านของพี่น้ำตาล ใจผมสั่นจนแทบจะร้องไห้ หลงคิดไปอีกว่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมา มันไม่มีความหมายสำหรับเธอเลยหรอ เธอค่อยๆเปิดประตูบานพับหน้าบ้านของเธอช้าๆ วินาทีที่เธอกำลังเดินจากผมเข้าไปในบ้านมันช่างยาวนานเหลือเกิน ผมไม่กล้าพูดไม่กล้าถามอะไรใดๆทั้งสิ้น



ในระหว่างที่เธอเข้าบ้านและกำลังจะปิดประตูบานเลื่อนลงมา เธอหันมามองผม เราทั้งคู่สบตากัน ทันใดนั้นเธอก็พุ่งโผเข้ามากอดผม พร้อมกับปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาชุดใหญ่ ก่อนจะพรรณนาบอกผมว่าเธอรักผมแค่ไหน เธอกอดผมแน่นราวกับว่านี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน แต่กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย ผมดึงเธอกลับมากอดอีกครั้งพร้อมกับถามว่าเธอเป็นอะไร มีอะไรอยู่ในใจทำไมไม่เล่าให้ฟัง เธอก็ไม่ตอบได้แต่ร้องไห้ บอกว่ายังไม่พร้อมจะบอก และ บอกให้ผมกลับบ้านเพราะมันดึกมากแล้ว เธอเป็นห่วง เราจากลากันโดยที่ผมได้เห็นรอยยิ้มเปื้อนน้ำตาของเธอ และ นี่คือร้อยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของเธอ


เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากผมตื่นนอนเตรียมจะออกไปขายน้ำเต้าหู้เช่นเคย แม่ผมก็บอกกับผมว่า เมื่อคืนน้ำตาลมาเรียกผม แต่พอแม่ออกมาเปิดประตูเธอก็ไปแล้ว ผมตกใจเป็นอย่างมาก กลัวจะเกิดเรื่องอะไร จึงรีบเข็ญรถน้ำเต้าหู้ไปดูที่บ้านเธอ ปรากฎว่าบ้านเธอไม่มีคนอยู่ ตะโกนเรียกแค่ไหนก็ไม่มีคนออกมาเปิด ผมจึงไปขายน้ำเต้าหู้ต่อจนหมด แล้วจึงกลับบ้าน



ช่วงบ่ายของวันนั้นหลังจากช่วยงานบ้านเสร็จผมก็ผอยหลับไป ตื่นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนที่อยู่หน้าบ้าน จึงรีบออกไปเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี แม่ของพี่น้ำตาล แต่ที่ทำให้ใจผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่มก็เพราะ แม่ของพี่น้ำตาลยืนร้องไห้อยู่ ในใจคิดขึ้นมาทันทีว่าต้องเกิดเรื่องอะไรไม่ดีแน่นอน แล้วประโยคที่แม่พี่น้ำตาลเอ่ยมา ก็ทำให้ผมถึงกับทรุดลงกับพื้น



"น้ำตาลเสียแล้วนะลูก"



วินาทีแต่ละวินาทีในเวลานั้นมันช่างยาวนานเหลือเกิน หูของผมอื้อจนไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง มือเท้าชา ขาแขนอ่อนแรงจนล้มลง ใจผมสลายแม้กระทั่งน้ำตาก็ไม่มีไหลออกมา ได้แต่ภาวนาให้มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ไม่มีผล 'มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ'



เวลาผ่านไปช้าๆจนผมได้สติ จึงรู้จากแม่ของพี่น้ำตาล ที่ทำให้ผมใจหายแวบไปอีกที ว่า พี่น้ำตาลเสียตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน เธอกินยาขับลูกที่เอามาจากไหนไม่มีใครทราบ ในห้องของเธอ จนกระทั่งแม่ของเธอไปพบร่างอันไร้วิญญาณในห้อง เธอจากไปด้วยอาการเสียเลือดมาก หมอบอกว่าเธอท้องได้ 4 เดือนแล้ว แม่ของพี่น้ำตาลจึงรู้ว่าผมไม่ใช่พ่อเด็ก


ในหัวตอนนั้นคิดแต่ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเมื่อคืนเรายังไปดูหนังกลางแปลงด้วยกัน และ แม่บอกผมว่าเธอยังมาเรียกผมที่หน้าบ้าน ใจก็อยากจะเล่าเรื่องนี้ออกไปแต่ก็ไม่กล้าพูด จนแม่ของผมบอกแม่ของพี่น้ำตาลว่า



"เมื่อคืนน้ำตาลยังมาเรียกลูกชายอยู่เลย"


ทุกคนมองหน้ากันอย่างมีนัยยะ


"คุณแม่ฟังนะ น้ำตาลเสียไปตั้งแต่ 4 โมงเมื่อวานแล้ว"



ทุกคนช็อคมองหน้ากันอยู่คู่ใหญ่ ไม่มีบทสทนาใดๆต่อจากนั้น ผมยิ่งไม่กล้าเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ใครฟัง



เวลาผ่านไปหลายต่อหลายวัน ผมไปร่วมงานและช่วยงานศพของพี่น้ำตาลอย่างเต็มที่ ในใจก็ทรมานเพราะคิดถึงเธอเหลือเกิน ร้องไห้ฟูมฟายทุกครั้งที่อยู่คนเดียว มารู้ที่หลังจากแม่ของพี่น้ำตาลว่าแกไม่ได้บอกใครว่าพี่น้ำตาลกินยาขับลูก ที่บอกผมเพราะว่าเผื่อผมจะรู้จักคนที่เป็นพ่อเด็ก นั่นก็คือ พี่โจ ผมก็ให้ข้อมูลกับแม่พี่น้ำตาลไปทุกอย่างที่ผมรู้



ผ่านไปนานจนเปิดเทอมอีกครั้ง ทุกครั้งที่ผมเดินขายน้ำเต้าหู้ผ่านหน้าบ้านของเธอ ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ยิ่งถ้าต้องไปโรงเรียนยิ่งทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นภาพความทรงจำเก่าๆของเราสองคน เย็นวันนั้นหลังจากเรียนเสร็จ ผมก็ไปที่ห้องวงโยธวาทิตเพื่อไปหาไอชัยที่พึ่งจะเข้าวงโยหมาดๆ พอไอชัยซ้อมดนตรีเสร็จ มันก็เอากระเป๋าสะพายข้างใบหนึ่งมาให้ผม มันบอกว่ารุ่นพี่ในวงโยให้ฝากไปให้แม่พี่น้ำตาล ใช่แล้ว!มันคือกระเป๋าของพี่น้ำตาล ผมถือวิสาสะเอากลับบ้านเพราะอยากจะเก็บกระเป๋าใบนี้ไว้เอง


เมื่อผมถึงบ้านจึงเปิดกระเป๋าพี่น้ำตาลดู และพบกับตุ๊กตาตัวที่ผมให้ พี่น้ำตาลเอาสติ๊กเกอร์รูปหัวใจติดไปทั่วตัวของมัน นอกจากนั้นยังเจอสมุดไดอารี่ เล่มหนึ่ง ผมเปิดอ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน
Bear
เธอเขียนเล่าถึงเหตุการ์ณที่แสนเศร้าระหว่างเธอและสามีใหม่ของแม่เธอ เธอโดนเค้าขืนใจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ไม่กล้าบอกใคร เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พี่โจก็มาทิ้งไป หลังจากเธอรู้ตัวว่าท้องไม่นาน แม้กระทั่งลูกในท้องเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อ



ไดอารี่ของพี่น้ำตาลเต็มไปด้วยเรื่องที่ยากจะรับไหว จนผมแทบทนอ่านต่อไม่ได้ ทำไมชีวิตเด็กสาวคนหนึ่งต้องมาเจออะไรแย่ๆแบบนี้ แต่ในความเศร้าก็ยังมีส่วนที่เขียนถึงผมด้วยเช่นกัน


ความรักช่างเข้าใจยากซะเหลือเกิน วันนึงบอกรักวันนึงบอกเลิก เธอจะเป็นเหมือนคนอื่นๆใหม ความสุขสิ่งเดียวในใจฉันวางใจที่เธอได้ใช่ไหม เราจะจับมือกันตลอดไปใช่ไหม เธอจะไม่ทำร้ายกันใช่ไหม เพราะฉันนั้นควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาที่ตกหลุมรักใครสักคน และเธอคืนคนนั้น
ปล.ตุ๊กตาหมีที่รัก


ผมร้องไห้ไม่หยุดหลังจากอ่านไดอารี่ของเธอจบ มันทำใจยากซะเหลือเกินสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวแบบนี้ เอาแต่โหยหา และ สงสารเธอจับใจ จนยากที่จะพรรณนา



แต่ในเมื่อชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป ผมตัดสินใจเอาไดอารี่นั้นให้แม่ของพี่น้ำตาลในวันที่พึ่งจะรู้ว่า แม่พี่น้ำตาลกำลังจะย้ายกลับไปจังหวัดบ้านเกิด หลังจากนั้นเป็นยังไงผมไม่ทราบ ทราบเพียงแต่ว่าได้เลิกลากับสามีคนนั้นไป ส่วนตัวผมได้บวชเณรเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พี่น้ำตาลทุกๆปิดเทอมภาคฤดูร้อน โดยมีตุ๊กตาหมี รูปถ่ายพี่น้ำตาลที่เอามาจากกระเป๋า และ กระดาษหน้าที่เขียนถึงผม เก็บไว้ดูเวลาคิดถึง และผมก็ไม่เคยรักใครอีกเลยจวบจนปัจจุบัน และยังคงทำบุญอุทิศไปให้เธอทุกครั้งที่มีโอกาศเป็นเวลายาวนานกว่า30ปีแล้ว หวังแค่ว่าถ้าชาติหน้ามีจริง ก็ขอให้เราได้กลับมาบรรจบพบกันอีกครั้ง
Crying


**ภาพประกอบเรื่องราวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาใดๆทั้งสิ้น 

ขอบคุณรูปภาพจาก www.pixabay.com

www.kapook.com



คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์