ตื่นเช้ามาคุณทำอะไรเป็นสิ่งแรก??? สำหรับฉันคือ...คว้ามือถือขึ้นมาก่อนที่จะลุกจากเตียงไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เชื่อว่าหลายคนก็เป็นแบบฉัน เราอยู่ในยุค "Mobile First" ยุคที่ "Internet of everything" อินเตอร์เน็ตต่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่รู้ตัวแบบที่เราก็เต็มใจ ฉันเคยเดินทางไปพักผ่อนไกลแสนไกล สุดท้ายฉันกลับถูกอินเตอร์เน็ตดึงฉันกลับมาสู่ความวุ่นวายเหมือนเดิม จนฉันตระหนักได้ว่าการลางานไปพักผ่อนทั้งที เราก็ควรจะอยู่กับสถานที่ที่เราได้ไป และมันก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงฉันปิดมือถือ แต่...เอาเข้าจริง ๆ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเปิดมือถือ และแน่นอนเปิดอินเตอร์เน็ตด้วย คุณเองก็เป็นเช่นกันไหมละ? การลางานเพื่อไปพักผ่อนในครั้งนี้ ฉันจึงตัดสินใจเลือกสถานที่ที่ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต แต่มีเงื่อนไขว่าต้องอยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพ เพราะไม่อยากขับรถไกล ฉันต้องการพิสูจน์ว่าถ้าฉันขาดอินเตอร์เน็ต 1 วัน ชีวิตฉันจะเป็นอย่างไร และฉันก็ได้พบกับพิกัดที่ฉันจะใช้ทดสอบตัวฉัน นั่นคือ "อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง" หรือมีชื่อเล่นว่า "ปางอุ๋งสุพรรณ" ตั้งอยู่ที่ ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ฉันเดินทางมาถึงปากทางเข้าอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรถที่เข้า-ออก อยู่ตรงป้อม เราชำระค่านำรถเข้า 20 บาท/คัน แล้วขับมาตามทางลูกรังระยะทางไม่กี่เมตร เราก็จะขับขึ้นเนินเล็ก ๆ พอลงจากเนินความรู้สึกแรกที่ฉันสัมผัสได้คือ "ความสงบ" และ "เย็นสบาย" ภาพตรงหน้าของฉันคือ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่ถูกขุนเขาโอบกอดและรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ มีแพที่พักเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ สานตามภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมา ลอยอยู่บนพื้นน้ำ มีบ้านไม้ที่อยู่บนบกที่ใช้เป็นสหกรณ์ชุมชนและจุดบริการนักท่องเที่ยว 1 หลัง มีดอกบัวตองสีเหลืองเรืองรองขึ้นเป็นพุ่มออกดอกบานสะพรั่งคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่หน้าอาคารไม้หลังนั้น คืนนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาค้างคืนเต็มทุกแพ มีบางส่วนกางเต็นท์ แต่แปลกจัง...ทำไมฉันรู้สึกไม่พลุกพล่านเลย ทั้ง ๆ ที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำก็ไม่ได้กว้าง (สามารถมองเห็นแพที่พักและจุดกางเต็นท์ได้ครบรอบอ่างเก็บน้ำ) และที่สำคัญทำไมฉันรู้สึกเหมือนเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ รอบอ่างเก็บน้ำแห่งนี้นะ หลังจากที่ฉันชำระเงินค่าแพที่พักที่ร้านค้าสหกรณ์ชุมชน และได้นำสัมภาระเก็บเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย ฉันจึงออกมาเดินเล่นรอบอ่างเก็บน้ำ โดยมีสุนัขเจ้าถิ่นเป็นไกด์นำทาง มันเดินข้างฉันไปทุกที่ที่ฉันเดิน มันดูเป็นมิตรและอารมณ์ดี ฉันเลือกหามุมเหมาะ ๆ เพื่อที่จะนั่งอ่านหนังสือที่ฉันเตรียมมาด้วย เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ (ฉันไม่ชอบใส่นาฬิกา และไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวออกมาด้วย) จนฉันได้กลิ่นควันไฟจากการประกอบอาหารของชาวบ้าน กระเพาะของฉันก็ส่งเสียงร้องเตือนว่าถึงเวลานำอาหารมื้อเย็นลงสู่กระเพาะแล้วนะ ฉันจึงเดินกลับมาที่ร้านค้าสหกรณ์ชุมชนเพื่อสั่งอาหารกับชาวบ้าน โดยมีสุนัขเจ้าถิ่นตัวนั้นเดินเคียงข้างมาส่ง หลังจากส่งฉันเสร็จมันก็ลงไปดื่มน้ำแก้กระหายและเดินลับหายไปในโซนกางเต็นท์ ส่วนฉันก็นั่งห้อยขาทานมื้อเย็นอย่างสบายอารมณ์โดยมีอ่างเก็บน้ำเป็นวิวเบื้องหน้า และกลับมาที่พักเพื่อเตรียมอุปกรณ์ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวม (แยกชาย-หญิง) พอพระอาทิตย์กล่าวคำลา ความมืดก็มาแทนที่ หน้าแพห้องพักมีเพียงตะเกียง 1 ดวงสำหรับให้แสงสว่าง ส่วนบริเวณห้องน้ำจะมีไฟฟ้าเปิดให้บริการตลอดคืน ชาวบ้านเอากระแสไฟฟ้ามาจากไหนกันนะ...คำตอบที่ได้คือชาวบ้านเอามาจากแผงโซล่าเซลล์ โดยการเก็บพลังงานจากแสงแดด 1 วันจะสามารถให้กระแสไฟฟ้าสำหรับใช้เพียง 1 คืน หากวันไหนไม่มีแสงแดดก็จะไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ถามว่าชาวบ้านเดือดร้อนไหม คำตอบคือ "ไม่" ถามว่าแล้วนักท่องเที่ยวเดือดร้อนไหม สำหรับฉัน..."ก็ไม่นะ"... เราก็มีวิธีการแก้ปัญหาโดยอาบน้ำก่อนฟ้ามืด และถ้าต้องออกมาทำธุระยามค่ำคืน เราก็มีตะเกียงที่ส่องแสงนำทาง มันก็แค่..."ไม่สะดวกสบาย" เท่านั้นเอง คืนนี้บริเวณที่พักไร้ซึ่งแสงจากไฟฟ้า แต่บริเวณท้องฟ้ากลับสุกสกาวสดใสเพราะถูกเติมเต็มด้วยแสงของเหล่าดาราน้อยใหญ่ "นานเท่าไหร่แล้วนะ...ที่ฉันไม่เคยแหงนหน้ามองท้องฟ้า มัวแต่ให้เวลากับหน้าจอต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น มือถือ คอมพิวเตอร์ " ฉันนั่งพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางตรงระเบียงหน้าแพที่พักในระดับเสียงที่เบา ฉันจึงเกิดคำถามในใจ... ทำไมปกติฉันไม่ใช้น้ำเสียงระดับนี้คุยกัน ทำไมฉันต้องตะเบ็งเสียงคุยด้วย? เราคุยกันจนถึงสามทุ่ม หลังจากนั้นเราก็ใช้ความเงียบคุยกัน พร้อมกับนั่งมองท้องฟ้า "สบายดีไหมดวงดาว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ" พระอาทิตย์กลับมาทักทายเราอีกครั้ง บรรยากาศสดชื่นมาก ๆ ฉันหลับสบายท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายโดยปราศจากพัดลมและแอร์ ฉันตื่นมานั่งชมธรรมชาติสลับกับดูนักท่องเที่ยว พายเรือคายัค ขี่ม้า ทำกับข้าว นั่งดูนักท่องเที่ยวชักรอกแพเพื่อไปนั่งทานอาหารที่แพใหญ่กลางน้ำ ชาวบ้านเดินเก็บตะเกียงหน้าบริเวณแพที่พัก และความคิดก็แว็บไปนึกถึงโทรศัพท์ที่ถูกปิดตั้งแต่ตอนมาถึง เท่านั้นแหละจิตใจก็ว้าวุ่นทันที แล้วฉันจะว้าวุ่นทำไม? ก็นั่นนะสิ! แล้วฉันก็เอาใจชองตัวเองกลับมาสู่บรรยากาศสบาย ๆ ของอ่างเก็บน้ำหุบเขาวงอีกครั้ง อ่างเก็บน้ำหุบเขาวงเป็นสถานที่ที่ทำให้ฉันอัศจรรย์ใจ เพราะสถานที่แห่งนี้เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชนที่ต้องการรักษาพื้นป่าในชุมชน และพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติแบบเรียบง่ายที่พอเพียง แต่มันก็เพียงพอสำหรับการพักผ่อน ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวมากมายเหมือนรีสอร์ทหรือโรงแรม ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้เราไลฟ์เพื่อประกาศต่อชาวโซเชียลว่าเรามาเที่ยว ไม่มีไฟฟ้า แพที่พักมีเพียงมุ้ง ฟูก หมอน ผ้าห่ม และตะเกียงเพียง 1 ดวง แต่ความไม่สะดวกสบายเหล่านี้ถูกเติมเต็มด้วยความเอาใจใส่ที่จริงใจของชาวบ้านที่ปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวทุกคนเสมือนญาติพี่น้องของพวกเขาที่มาเยี่ยมบ้าน พวกเขาจะคอยปรุงอาหารการกินให้กับนักท่องเที่ยว คอยผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรยามเพื่อดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง มันทำให้นักท่องเที่ยวอย่างฉันรู้สึกอบอุ่นและอุ่นใจ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราจ่ายให้กับอ่างเก็บน้ำหุบเขาวงล้วนเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้ ฉันใช้เวลาช่วงเช้าทั้งหมดไปกับการนั่งเล่นหน้าแพที่พัก พอพระอาทิตย์ตั้งตรงศีรษะ ฉันก็เดินทางออกจากอ่างเก็บน้ำหุบเขาวงด้วยความอิ่มใจ พอพ้นเขตอ่างเก็บน้ำหุบเขาวงฉันก็เปิดโทรศัพท์ และแน่นอน…เปิดอินเตอร์เน็ตด้วย แต่แปลก! ทำไมจิตใจฉันกลับไม่ว้าวุ่น ทำไมนะ??? และฉันก็ได้คำตอบ....ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และอินเตอร์เน็ตไม่ได้รบกวนเรา แต่ "จิตใจเราเอง" ที่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มันเข้ามารบกวน...ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีประโยชน์และโทษเป็นของคู่กัน..."ความสมดุล" คือคำตอบ Photo by: Pai-Toon ผู้ที่ชอบพกกล้อง แต่ขี้เกียจถ่ายรูปสุด ๆ