จังหวัดอุทัยธานี เป็นเมืองด้านตะวันตกของไทย ที่มีทรัพยากรธรรมชาติ คือ ป่าไม้ บนผืนป่าตะวันตกแห่งนี้มีขอบเขตติดต่อกันหลายจังหวัด ตั้งแต่กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร และตาก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เช่น เสือโคร่ง ที่อาศัยหากินอยู่ตลอดแนวป่าด้านนี้ เพราะเสือโคร่งเป็นสัตว์ที่รักสันโดษ จึงมีจำนวนลดลงเกือบจะสูญพันธุ์ แต่ละตัวจะมีอาณาเขตอาศัยเป็นของตัวเอง (เสือตัวเมียครอบครองอาณาเขตราว 10-20 ตารางกิโลเมตร และ เสือตัวผู้ 30-70 ตารางกิโลเมตร ) แหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองของจังหวัดอุทัยธานี นอกจากจะมีวัดท่าซุง ที่ขึ้นชื่อด้านความสวยงามของวิหารแก้ว เป็นวัดที่ประชาชนนิยมมาปฏิบัติธรรม ยังมีพระตำหนักของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อยู่ที่ตำบลอุทัยใหม่ พระองค์ท่านทรงสร้างแบบพอเพียง ริมแม่น้ำสะแกกรัง คำกล่าวที่ว่า ถึงอุทัยไม่ต้องอุทธรณ์ ค่ำแล้วก็นอนที่เมืองอุทัย สื่อถึงความสงบเรียบง่าย และงดงามของเมืองอุทัยธานี ใครมาเที่ยวเป็นต้องหลงรัก หุบป่าตาด เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์ไม้ อยู่ที่ อำเภอ ลานสัก การเดินทางสะดวก รถเข้าถึงได้เลย เป็นสถานที่ทางธรรมชาติที่น่าไปชมสักครั้ง ผู้เขียนไปมาสองครั้ง ครั้งแรกตอนเช้า ครั้งที่สองไปถึง 15.40 น. ( ใกล้ ๆ วันคริสต์มาส เจ้าหน้าที่กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงกันอยู่ ) เจ้าหน้าที่ที่ดูแลบอกว่าดูทัน เพราะจะขายบัตรชุดสุดท้ายเวลา16.30 น. คนไทยจ่ายค่าเข้าชมเพียง 20 บาท สิ่งที่ต้องเตรียมมา คือ "ไฟฉาย" เจ้าหน้าที่เห็นคณะนี้สูงวัยแล้ว ก็ให้ยืมไฟฉายได้ ทางเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ มาเจอถ้ำที่มืดสนิท ใช้ไฟฉายส่องทาง ระยะทางประมาณ 40 เมตร พื้นตรงนี้เป็นดินเรียบลื่น เดินมาเห็นแสงตรงทางออก ถึงแล้ว "หุบป่าตาด" เดินขึ้นบ้าง ลงบ้าง ตามทางเดินปูนที่ทำไว้อย่างดี มีราวกั้น มีจุดพักเหนื่อย อากาศในนั้นเย็นสบายดี ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ เราจะเห็นปล่อง มีช่องแสงขนาดใหญ่ ให้แสงอาทิตย์ส่องมาถึงหุบนี้ ที่เราเดินเหยียบอยู่ คือ ผนังถ้ำที่ถล่ม ยุบตัวลงมา จึงเรียกว่าหุบ แล้วมีต้นตาดมากมาย เรียก "หุบป่าตาด" ใครซุกซนดั้นด้นมาเจอที่นี่หล่ะ เป็น "พระ" ท่านคงมาธุดงค์แสวงหาที่ปฏิบัติปลีกวิเวก ในภายหลังราชการจึงมาพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หุบนี้เป็นหินปูน ล้อมรอบไปด้วยหน้าผาสูง โพรงถ้ำเป็นหินงอกหินย้อยสวยงาม มีรูปร่างแตกต่าง แล้วแต่จะจินตนาการ บ้างว่าเหมือนไดโนเสาร์ บ้างว่าเป็นรูปเต่ายักษ์ รูปหัวม้า ตามพื้นถ้ำเดิมที่ยุบลงมามีฟอสซิลของหอยด้วย เรามองเห็นเป็นเขียวๆ ดูเองไม่รู้หรอกว่า คือ ฟอสซิล ครั้งแรกที่มามีเจ้าหน้าที่มาเป็นไกด์อธิบายให้ความรู้ ทำให้การมาชมของเรามีประโยชน์มากกว่าเดินดูเอง ( วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ จะมีน้อง ๆ ตัวเล็กเป็นไกด์ ) เจ้าหน้าที่มาชี้ให้ดูต้นไม้ต่าง ๆ ที่หายาก เช่น ต้นไทร ต้นช้างกระทืบโรง ต้นกระพง ต้นยมหิน ต้นยมป่า ต้นปอหูช้างที่ชอบขึ้นบนหิน มีป้ายอธิบายที่ต้นด้วย นี่ต้นช้างกระทืบโรง ป้ายอธิบายละเอียด แต่ไม่ค่อยได้อ่าน พระเอกของที่นี่ คือ "ต้นตาด" หรือ "ต๋าว" เป็นพืชตระกูลปาล์ม นำมาทำน้ำมันได้ นำมากินก็ได้ แต่เนื้อมีน้อย คนจึงไม่นิยม ความพิเศษของต้นตาด คือ "เป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์" หุบป่าตาดจึงเป็นป่าดึกดำบรรพ์ ที่เป็นป่าดงดิบด้วย ขนลุกรึยัง จะดูป่าดงดิบได้ง่าย ๆ แบบนี้ได้ที่ไหนอีก ถึงได้มีฟอสซิลหอยไงล่ะ เค้าบอกว่าที่นี่มี "เต่าร้าง" และ "กิ้งกือมังกรสีชมพู" บนนี้เราเจอเต่าเดินมาช้า ๆ ตัวนึง มองดูไม่รู้ว่าใช่เต่าที่ว่าไหม มันอยู่บนบก เป็นเต่าบก อย่าเหวี่ยงปล่อยในน้ำเด็ดขาด ส่วนกิ้งกือจะออกมาตอนหน้าฝน เป็นสัตว์ที่เพิ่งค้นพบว่ามีบนโลก เกือบเย็นแสงด้านบนมีน้อยกว่าด้านล่างที่เราขึ้นมา เพราะเรามากันเย็นไป ไม่มีคนแล้ว เราจึงถ่ายรูปกันได้สบายใจ เดินวนได้รอบ ๆ ไม่หลงทาง เพราะจะวนกลับมาที่เดิม มีมุมตรงนี้เป็นจุดที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และคณะ มาฉายพระบรมฉายาลักษณ์ เราก็ขอตามรอยพระองค์ท่าน ต้นไม้จ๋า เบื่อรึเปล่า อยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้ ต้นไม้คงหัวเราะในใจ พวกข้านั้นอยู่มาแต่ดึกดำบรรพ์ เร่งสร้างออกซิเจนให้โลกใบนี้ พวกมนุษย์ตัวจิ๋ว ตัวทำลายธรรมชาติ เดี๋ยวเจ้าก็ตายไป แต่ผลจากการทำลายธรรมชาติ ยังคงอยู่เป็นเวลาอีกหลายร้อยปี ภาพถ่ายโดย : ผู้เขียน และคุณสุวรรณา สุระพัฒน์