"โรนัลดินโญ่" หรือชื่อเต็มว่า "โรนัลโด เด อัสซิส โมเรยรา" เหยินน้อย นักเตะจอมเทคนิค สุดยอดนักเตะชาวบราซิเลี่ยน ชายผู้มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์เกมส์ฟุตบอลในสนามอย่างเป็นธรรมชาติและยังได้รับขนานนามว่าเป็นกลองหน้าระดับระดับพระกาฬของโลก ด้วยฝีเท้าในการลากเลื้อยหลบหลีกกองหลังของคู่ต่อสู้ต้องหลังหักหลังแอ่นไปตาม ๆ กัน ถือได้ว่าเป็นนักเตะกองหน้าที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งในอดีต CR: ที่มารูปภาพจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี>>https://flickr.com/ โรนัลดินโญ่ ชอบฟุตบอลมาตั้งแต่ยังเด็ก ชอบที่จะออกไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อน ๆ ของเขาตามท้องถนนและบริเวณชายหาดเขตเมือง ปอร์โต้ ประเทศบราซิล ในช่วงวัย 13 ปี โลนัลดินโญ่เริ่มที่จะมีคนรู้จักมากขึ้นโดยการยิ่งประตูคู่แข็งในการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนแบบไม่ยั้งไปถึง 23 ประตูต่อ 0 หลังจากนั้นก็สร้างชื่อเสียงมาเรื่อย ๆ ภายในประเทศ จนมาติดทีมชาติชุดเล็ก U-17 แล้วได้ได้ก้าวเข้าสู่ทีม เกรมิโอ สโมสรดังจากบราซิลในปี ค.ศ. 1998 - 2001 บทพิสูจน์การเป็นนักเตะของเขาช่วงวัยหนุ่นของ โลนัลดินโญ่ สร้างความโดดเด่นและเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาต่อแฟนลูกหนังชาวบราซิล ความสามารถพิเศษในการเลี้ยงบอลและการเข้าทำประตูทำให้ทุกคนถึงกับอึ้ง จนในปี ค.ศ. 1999 โลนัลดินโญ่ ได้ถูกเรียกให้ไปรับใช้ทีมชาติบราซิลในช่วงอายุแค่เพียง 19 ปี ถือว่าเป็นนักเตะดาวรุ่งที่อายุน้อยที่สุดในการติดทีมชาติ CR: ที่มารูปภาพจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี>>https://flickr.com/ ต่อมาแมวมองได้เห็นทักษะและความสามารถของเขา ในปี ค.ศ. 2001 สโมสรดังในยุโรปประเทศฝรั่งเศส คือทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำการเซ็นสัญญาค้าแข็งกับ โลนัลดินโญ่ ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญาสัญญาค้าแข้งในระยะเวลา 5 ปี ในช่วงที่ โรนับดินโญ่อยู่ในฝรั่งเศสเขาพยายามที่จะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมและผุ้คนในประเทศนี้ให้มากที่สุด แต่กุนซือชาวฝรั่งเศส หลุยส์ แฟร์นอ็องเดซ ทีมเปเอสเช จะไม่ค่อยพอใจในตัวของโรนัลดินโญ่เท่าที่ควรเพราะเห็นว่าโรนัลดินโญ่ชอบเที่ยวเตร่ในตอนกลางคืนบ่อยครั้งและไม่ค่อยที่จะมีสมาธิให้กับทีมในการแข่งขันฟุตบอล ในช่วงฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2002 โรนัลดินโญ่มีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษ เขาสร้างเซอร์ไพรส์ในการทำประตูที่สุดสวยที่สุดในฟุตบอลโลกคร้้งนี้ โดยการปั่นฟรีคิกจากครึ่งสนามลอยข้ามหัว เดวิด ซีแมน นายทวารทีมชาติอังกฤษเสียบเข้าตาข่ายอย่างหน้าเหลือเชื่อ CR: ที่มารูปภาพจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี>>https://flickr.com/photos/ หลังเสร็จสิ้นฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้และประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ โรนัลดินโญ่ต้องการที่จะย้ายออกจากทีมเปเอสเช หลังจากที่ทีมไม่สามารถผ่านเข้ารอบในศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก อีกทั้งยังมีปัญหาขัดแย้งผู้ฝึกสอนในทีม บรรดาหลายทีมในยุโรปต่างให้ความสนใจในตัวของโรนัลดินโญ่ สุดท้ายทีมสโมสรดังจากสเปน บาร์เซโลน่า ทุ่มเงินจำนวน 21 ล้านปอนด์ คว้าตัวเหยินน้อย โรนัลดินโญ่มาครอบครอง เป็นการตัดหน้าการซื้อขายอย่างแรงอย่างทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากเกาะอังกฤษ การตัดสินใจมาอยู่บาร์ซ่าของโรนัลดินโญ่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา ลีก ได้ 2 สมัย และยูฟ่า แชมป์เปีัยนส์ บีก อีก 1 สมัย อีกทั้งยังได้รับถ้วยร่างวัลบัลลงดอร์นักเตะยอดเยียมแห่งปี 2005 ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของเหยินน้อยเป็นอย่างมาก CR: ที่มารูปภาพจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี>>https://flickr.com/ ต่อมาในปี ค.ศ. 2008 ผู้จัดการทีม เป็ป กวาร์ดิโอลา ชาวสแปนิช ได้เข้ามาคุมทีม และเห็นว่าโรนัลดินโญ่ไม่ได้อยู่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของเขา โรนัลดินโญ่จึงต้องประกาศขอย้ายออกจากทีมโดยการเลือกที่จะไปเล่นให้กับทีม เอซีมิลาน ในอิตาลี โดยก่อนหน้านั้นมีทีมดังจากเกาะอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยืนข้อเสนอคว้าตัวเหยินน้อย แต่โรนัลดินโญ่ปฏิเสธที่จะไปร่วมทีม จากการย้ายมาอยู่ในถิ่นปีศาจแดงดำ เอซีมิลาน ดูเหมือนว่าการเล่นฟุตบอลของโรนัลดินโญ่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าที่ควร เขจึงขอย้ายกลับไปเล่นยังบ้านเกิดให้กับทีมฟลาเมงโก ในปี ค.ศ. 2011 และก็ย้ายไปเล่นให้กับทีมต่าง ๆ ภายในประเทศบ้านเกิด จนเมื่อปี ค.ศ. 2015 เขาได้แขวนตาร์ทเลิเส้นทางการค้าแข้งเป็นที่เรียบร้อย CR: ที่มารูปภาพจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี>>https://flickr.com/search/?l=commderiv&q=Ronaldinho เส้นทางของโรนัลดินโญ่ ดูเหมือนจะจบไม่ค่อยสวยหรูมากนัก แต่เขาถือได้ว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ในวงการลูกหนังโดยการเล่นฟุตบอลของเขาที่มีลักษณะการเล่นที่เป็นธรรมชาติ ใช้ทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่มีใครทำได้เหมือนกับเขาโดยเฉพาะการเล่นที่มีท่าไม้ตายอย่างท่า ฟลิป แผลป หรือเรียกชื่ออีกอย่างว่า อีลาสติโก้ ซึ่งเป็นท่าเปลี่ยนทิศทางลูกบอลอย่างรวดเร็ว และแม่นยำ สามารถเลี้ยงหลบหลีกกองหลังคู่ต่อสู้เสียจนหลังหักกันเลยโดยเฉพาะหากเกิดการปะทะกัน 1 : 1 และอยู่ในมุมแคบ ๆ ด้วยแล้ว ไม่มีใครหยุดการลากเลื้อยของเขาไปได้ CR : ภาพหน้าปกจากเว็บไซต์โหลดภาพฟรี>>https://flickr.com/