กาลเวลาหมุนเวียนไม่เคยหยุดนิ่ง เศรษฐกิจเติบโตตลอด ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเงิน สถานที่หรือแม้แต่จิตใจของผู้คน และในปัจจุบันที่พื้นที่โมเดิร์นสมัยใหม่เข้ามาแทนที่มากขึ้น ก็ทำให้บางกลุ่มเลือกที่จะหาท่องเที่ยวในแหล่งดั้งเดิม และคงจะดีถ้าสถานที่เหล่านั้น ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้ ซึ่ง “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” ก็ยังรักษาทุกอย่างไว้ ราวกับกาลเวลาไม่สามารถทำอะไรชุมชนแห่งนี้ได้ ชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีอายุกว่าสามร้อยปี ตั้งอยู่บนถนนสุขาภิบาล ที่ถือว่าเป็นถนนสายแรกของจังหวัดจันทบุรี ชื่อของชุมชนริมน้ำแห่งนี้เป็นการเรียกรวมของสามชุมชนได้แก่ ชุมชนท่าหลวง, ชุมชนตลาดกลาง และชุมชนตลาดล่าง โดยเฉพาะชุมชนท่าหลวงที่มีประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองจันทบุรีเมื่อปี พ.ศ.2419 อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม งานศิลป์และสถาปัตย์ของบ้านเรือนในชุมชนที่บ่งบอกเอกลักษณ์อันโดดเด่น และในอดีตที่คนไทยจะใช้การคมนาคมทางเรือเป็นหลัก ทำให้ชุมชนแห่งนี้มีบทบาทในการเป็นศูนย์การค้าที่สำคัญ จนกระทั่งการคมนาคมทางบกมีบทบาทมากขึ้น ถนนถูกสร้างขึ้นมากมาย การสัญจรด้วยเรือก็ลดบทบาท ทำให้หลายชุมชนริมน้ำซบเซาลง รวมถึงชุมชนริมน้ำจันทบูรด้วย ขอบคุณภาพจาก Facebook: จันทบุรี ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2533 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่บริเวณตลาดกลาง บ้านเรือนโบราณเสียหายไปหลายสิบหลัง อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2542 และปี พ.ศ. 2549 ประกอบกับธุรกิจพลอยที่เป็นธุรกิจหลักของจังหวัดซบเซาลง ก็ทำให้ชาวชุมชนเริ่มมีการย้ายออกไป ในปี พ.ศ.2552 สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรีได้มีนโยบายฟื้นฟูย่านการค้าเก่าแก่ และตั้งใจให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทางสถาบันอาศรมศิลป์จึงได้ส่งนักศึกษามาทำวิทยานิพนธ์ในพื้นที่แห่งนี้ และร่วมกันทำประชาคม จนเกิดอาสาสมัครเป็นคณะกรรมการพัฒนาชุมชนริมน้ำจันทบูรในปี พ.ศ.2556 โดยใช้การพัฒนาชุมชนด้วยแนวคิด “วัฒนธรรมนำการค้า” เพื่อก่อให้เกิดการสร้างจิตสำนึกและความสามัคคีภายในชุมชน และการดำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่มีคุณภาพ สืบสานและเผยแพร่ประวัติศาสตร์ของชุมชน อนุรักษ์งานศิลป์และสถาปัตย์เพื่อนำไปสู๋การเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจันทบุรี และผลของการใช้ “วัฒนธรรมนำการค้า” ก็เกิดผล ชื่อเสียงของชุมชนแพร่กระจายไปทั่วประเทศ งานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของชุมชนได้ถูกนำเสนอผ่านโฆษณา และละครหลายครั้ง จนทำให้ผู้พบเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ พากันมาสัมผัสด้วยตัวเอง อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิถีชีวิต รวมถึงอาหารรสชาติดีภายในชุมชน จนทำให้สถานที่แห่งนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง การพัฒนาและฟื้นฟูชุมชนริมน้ำจันทบูรจะเกิดขึ้นจากหน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะการมีส่วนร่วมของผู้คนในชุมชน ที่ช่วยกันดำเนินงานกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการอนุรักษ์สิ่งดั้งเดิม ควบคู่กับการประยุกต์นำสิ่งใหม่มาใช้ได้อย่างลงตัว เช่นการเปิดร้านคาเฟ่หรือร้านอาหารสมัยใหม่ แต่ให้คงงานสถาปัตย์ของตัวอาคารแบบดั้งเดิมไว้ การค้าขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้ จึงทำให้เกิดการท่องเที่ยวภายในชุมชนมากขึ้น ถือเป็นการเดินไปตามทิศทางที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน คือการดำรงวิถีชีวิตที่มีคุณภาพ อนุรักษ์งานศิลป์และสถาปัตย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน เผยแพร่ประวัติศาสตร์ของชุมชนด้วยแนวคิด “พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต” ควบคู่กับ “วัฒนธรรมนำการค้า” จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง โดเด่นและไม่เหมือนใคร ด้วยทัศนคติและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวต่อการเป็นเจ้าของชุมชนร่วมกัน ไม่เพียงตอบสนองภายในชุมชนเท่านั้น ยังได้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาชุมชนในเชิงอนุรักษ์ความดั้งเดิมให้เดินร่วมไปกับยุคสมัยใหม่ได้ อีกทั้งยังได้สร้างอิสระทางความคิดเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเด็ก ผู้ใหญ่ จนถึงวัยสูงอายุ ก็มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนแห่งนี้ เกิดการเคารพซึ่งกันและกัน สร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินงานเพื่อส่วนรวม จึงทำให้เป็นแผนพัฒนาอย่างหนึ่ง ที่ชุมชนอื่นน่าจะลองไปปรับใช้ เพื่อทำให้พื้นที่แห่งนั้น เกิดเป็นสีสันและเอกลักษณ์ดังที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรได้ทำสำเร็จ