Photo Cover by SPiRiTiO เรียกว่า 1 ปีมี 1 ครั้งจริง ๆ ครับสำหรับการเปิดเขาคิชฌกูฏ ให้กับประชาชนผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ให้ขึ้นเขาไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาทยังยอดเขา เพื่อขอพรในสิ่งที่ตนเองต้องการ และอยากจะได้มากที่สุดแค่อย่างเดียวเท่านั้น คนที่เคยไปอธิษฐานขอพรส่วนมากจะสำเร็จสมดังที่ตนได้ขอไว้ เลยยิ่งทำให้มีคนต้องการจะขึ้นเขาไปกราบสักการะมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะไปกับเค้าเหมือนกัน ลาพักร้อนเตรียมไว้แล้วเรียบร้อย ยังไงวันนี้ก็ต้องไปให้ถึง "ผ้าแดง" ให้ได้ครับ Photo by SPiRiTiO ผมขับรถออกเดินทางตั้งแต่ช่วง 17.00 น. กว่าจะถึงที่เขา คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ก็เกือบประมาณสองทุ่มเห็นจะได้ เห็นแสงไฟบนยอดเขาแบบไกล ๆ ด้วยความที่ไม่ได้ไปนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพแวดล้อมด้านล่างเขาจะเป็นยังไงบ้าง พอขับรถไปถึงก็ขับขึ้นไปที่แนวสันเขื่อนเลยครับ ปรากฏว่าไม่มีรถจอดอยู่เลย ผมก็งง เลยต้องวนรถลงมาอีกครั้ง เลยต้องถามร้านค้าแถวนั้นครับว่า ต้องจอดรถตรงไหน ถึงจะไม่เสียตัง ประมาณว่าไม่อยากเสียค่าจอด เดชะบุญ มีที่จอดรถฟรีในโรงเรียนวัดพลวงครับ และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรถให้ ก็อุ่นใจขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง Photo by SPiRiTiO แล้วเราก็เดินมาตามทาง สองข้างทางที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้าของฝาก ร้านดอกไม้ ร้านขายพลอยสำหรับไปโรยขอพรที่รอยพระพุทธบาทด้านบน เราก็ซื้อมาคนละชุด อ้อ ลืมบอกไปครับว่ามาเป็นครอบครัว มีภรรยาและลูกชายอีกคนครับ ถัดมาจะเป็นจุดซื้อตั๋วขึ้นเขาค่าตั๋ว 100 บาทต่อคนครับ ส่วนเด็กไม่เสียนะครับ นั่งฟรี และเสียค่าเข้าอุทยานอีกคนละ 20 บาท สรุปแล้วทั้งขาขึ้นและขาลงจะเสียค่ารถทั้งหมด 440 บาทครับ Photo by SPiRiTiO ทางขึ้นเขานี่เป็นอะไรที่ Amazing มาก คุณแทบจะหยุดหายใจเลยทีเดียวครับ ขอแนะนำว่าให้เกาะรถไว้แน่น ๆ เพราะคุณกำลังจะได้รับความตื่นเต้นอย่างที่สุดของ การขับขี่รถแบบผู้เชี่ยวชาญ ขับกันเลยทีเดียว ระยะทางตั้งแต่ตีนเขาขึ้นไปถึงจุดแรก ๆ ที่เราต้องลงเดิน ประมาณ 5.5 กม.โดยประมาณ นับว่าไกลพอดู ทีแรกผมกะจะเดินขึ้นตั้งแต่แรกเลย แต่ไม่มีคนเดินเลยครับ จึงจำใจต้องขึ้นรถมาแทน แต่ก็ได้ประสบการณ์ตื่นเต้นจากการนั่งรถที่สักครั้งในชีวิตของทุกคนต้องมาลองดูครับ Photo by SPiRiTiO ตั้งแต่จุดลงรถลานพระสิวลี ก็เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ ทางเดินขึ้นช่วงนี้ทำสวยมากครับ มีการตกแต่งทางเดินหลากหลายแบบมาก ส่วนทางเดินขึ้นก็ชันมากเช่นกัน แต่ก็ยังมีราวให้จับไปตลอดทาง ทั้งเชือกขึงกันล้มในบางจุดที่อาจเป็นอันตรายจริง ๆ ส่วนใครที่อายุมากแล้วยังมีบริการให้เช่านั่งเสลี่ยงหามขึ้นไปด้านบน ราคาก็อยู่ที่ราว ๆ 600 บาทครับ ช่วงที่ผมไปคนยังไม่ค่อยเยอะ เลยพอยังมีทางเดินแบบสบาย ๆ อยู่ ไม่แออัดมาก แต่ก็เหนื่อยแทบขาลากเลยล่ะครับ คอแห้งตลอดทาง ลืมบอกไปว่า เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เอาอาหารขึ้นไปด้วยนะครับ เอาขึ้นไปได้แค่น้ำขวดเท่านั้น เพราะปีที่ผ่าน ๆ มา กว่าจะขนขยะลงได้หมดก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยครับ ปีนี้เลยไม่ให้เอาขึ้นไป แต่ตามจุดต่าง ๆ ก็จัดให้มีน้ำดื่ม น้ำสมุนไพร ให้ผู้มาแสวงบุญได้ดื่มกันฟรี ๆ อีกด้วยครับ Photo by SPiRiTiO กว่าจะมาถึงรอยพระพุทธบาทก็ใช้เวลานานพอสมควร ทั้งเดินทั้งพักสลับกันไปครับ นี่แค่ระยะทางสั้น ๆ ประมาณ 1 กิโลเองนะ แต่รู้สึกว่ามันช่างไกลเหลือเกิน แต่ด้วยความศรัทธาแล้วแค่นี้เทียบไม่ได้เลยครับ ตรงลานพระบาทนั้นคนเยอะมาก จะมีพระสงฆ์ถือไมค์พูดนำทำพิธีสักการะอยู่เป็นช่วง ๆ เนื่องจากคนเยอะ เลยต้องนำสวดถวายวนไปเรื่อย ๆ บรรยากาศด้านบนดีมากครับ ลมพัดเย็นจนเกือบจะหนาว แต่เราเดินขึ้นมาเลยรู้สึกอุ่นแทน ถ้าใครต้องการจะนอนที่นี่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ทางวัดยังมีผ้าห่มไว้ให้ใช้ด้วยครับ สะดวกสบายมาก ๆ ส่วนทางเดินช่วงระหว่าง รอยพระพุทธบาทกับ ผ้าแดง ยังมีจุดชมวิวสวย ๆ ให้เราได้ถ่ายรูปเก็บความประทับใจไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยขึ้นมาถึงจุด ๆ นี้ และทางหลังจากนี้จะทุลักลุเลพอสมควร เดินขึ้นเดินลงอยู่เป็นระยะ ๆ ขาลากกันเลยทีเดียว ตามจุดต่าง ๆ ข้างทางเดินก็ยังมีจุดให้แวะทำบุญกันอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใครที่อยากทำบุญร่วมจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ด้านบนก็ยังมีให้ทำครับ เรียกว่ามาทีเดียวได้ทำบุญกันตามที่ต้องการแน่นอน Photo by SPiRiTiO จุดสุดท้ายปลายทางในวันนี้ก็คือ "ผ้าแดง" ครับ ทำไมต้องเป็นผ้าแดง นั่นน่ะสิ ? ผมเลยสอบถามผู้รู้ได้ความว่า จริง ๆ แล้ว ผ้าแดงที่เค้าผูกไว้ก็เพื่อเตือนคนที่เดินทางขึ้นมาบนเขาว่า ระยะทางหลังจากผ้าแดงที่ผูกไว้นี้ เป็นทางอันตรายมีหน้าผา คือจะไม่ให้ไปต่อแล้วมันอันตรายนั่นเองครับ คนที่ขึ้นมาก็เลยผูกตาม ๆ กันมา จนกลายเป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง ว่า ถ้าขึ้นเขาแล้ว มาไม่ถึงผ้าแดงถือว่ามาไม่ถึงเขาคิชฌกูฏ เพราะถือเป็นจุดสูงสุดแล้วนั่นเอง มีเคล็ดอย่างหนึ่งนะครับ สำหรับใครที่ตั้งใจมาขอพร ให้ขอเพียงอย่างเดียว ที่ตั้งใจมาขอจริง ๆ ไม่ว่าจะขอกับเทพหรือพระองค์ไหนก็ตาม เชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งความสำเร็จสมหวังทุกประการครับ Photo by SPiRiTiO ครับ สำหรับใครที่จะมาขึ้น "เขาคิชฌกูฏ" สามารถมาได้ทุกวันทุกเวลาเลยครับ ในช่วงระหว่างวันที่ 24 ม.ค. - 24 มี.ค. พ.ศ. 2563 นี้ มีรถบริการรับส่ง ขึ้น-ลง เขาตลอด ขอแค่คุณมีแรงศรัทธาอย่างแรงกล้า ที่ตั้งใจจะมากราบสักการะรอยพระพุทธบาทสักครั้งในชีวิต ถ้าใครไม่อยากนั่งรถอยากเดินขึ้นเขาก็สามารถทำได้ครับ เพราะยังมีทางเดินโบราณให้ได้เดินกันอยู่ พาเพื่อนมาด้วยหลาย ๆ คนจะสนุกไปอีกแบบ แนะนำว่าให้ไปช่วงตี 3 ตี 4 จะเดินได้แบบไม่ร้อนมาก พอเช้าจะถึงยอดเขาพอดีครับ ส่วนประสบการณ์ในการนั่งรถขึ้นเขาก็สุด ๆ เช่นกัน รับรองว่าลงจากรถแล้วตัวเบาแน่นอน วันนี้กระผมนาย SPiRiTiO ต้องขอตัวไปก่อน ไว้เจอกันบทความหน้าครับ วันนี้ สวัสดีครับ