"เที่ยวเมืองแห่งตำนาน ชมความงามประติมากรรม ดื่มด่ำวิถีไทย" เมื่อกล่าวถึงสถานที่ในจังหวัดชลบุรีที่สะท้อนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาชาวบ้าน ก็มีมากโข ซึ่งล้วนแต่เป็นศิลปะและวรรณกรรมไทยที่งดงามอันทรงคุณค่าทั้งสิ้น วันนี้เด็กหญิงเจนและผองเพื่อนได้ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครเมื่อเวลา 6.30 น. ไปยังสวนไทยและประติมากรรมน้ำแข็ง ระหว่างทางได้ฟังเพลง ชมวิวโดยรอบ หลับไปบ้าง นั่งมองรถผ่านด่านทางด่วนก็หลายด่าน แล้วพักหาของกิน แวะเข้าห้องน้ำตรงทางพิเศษบูรพาวิถีหรือที่เรียกกันว่า "มอเตอร์เวย์" จากนั้นจึงเดินทางต่อ ไปถึงสวนไทยเมื่อเวลา 9.20 น. ได้ชมและขี่ช้าง นั่งรถม้าจากที่ไม่เคยขี่ สะท้อนให้เห็นการใช้รถม้าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อใช้ในการรับผู้โดยสารจากสถานีรถไฟเข้าสู่ตัวเมืองนครลำปาง ทั้งไปรับพัสดุภัณฑ์จากสถานีรถไฟมาส่งที่ทำการไปรษณีย์ เป็นรถรับส่งนักเรียน ขนของให้พ่อค้าแม่ค้าเรื่อยไปจนถึงพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ยังมีรถม้าเหลืออยู่เพียงเพื่อบริการนักท่องเที่ยว ได้เห็นวิถีชีวิตการดำรงอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันระหว่างสัตว์กับมนุษย์ ได้เห็นการนำความรู้ศาสตร์พระราชาตำราของพ่อมาเผยแพร่ในรูปแบบของเกษตรทฤษฎีใหม่อันประกอบไปด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว มีทั้งตะไคร้ ใบกะเพรา ใบเตย ใบยี่หร่า ฯลฯ มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน คือ 30% สถานที่แรกเป็นนาข้าว เมื่อมองย้อนไปในอดีตจะพบว่าคนในสมัยนั้นจะปลูกข้าว หว่านต้นกล้า ทำนา เกี่ยวข้าว ใช้ควายในการไถนา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีเข้ามาทำให้เรากลับไม่เห็นภาพเหล่านั้นจนมันเลือนลางไปตั้งแต่วัยเยาว์ 30% สถานที่สองเป็นสวนผลไม้ ได้เห็นผลไม้ที่ผู้คนมักปลูกกันตามฤดูกาล 30% สถานที่สามเป็นแหล่งน้ำ ได้นั่งเรือชมปลาที่ถูกเลี้ยงไว้ในแหล่งน้ำ มีบัวบาน ลอยผุดอยู่เหนือน้ำ เห็นแล้วทำให้นึกถึงบทเห่ชมเรือกับกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง และ10% สถานที่สุดท้ายเป็นที่พักอาศัยนอกจากนี้ยังได้รับความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่องการทำขนมครก การจักสานปลาตะเพียน ชมความงามของร่มผ้าบาติกที่เป็นภูมิปัญญาของชาวใต้ , ธุงใยแมงมุมที่ทำด้วยเส้นด้าย เส้นฝ้ายหรือเส้นไหมจากฝีมือคนอีสาน และการถักทอผ้าไหมไทยเป็นเครื่องนุ่งห่มอย่างปราณีต เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. ได้แวะรับประทานอาหารร่วมกัน ด้วยสำรับที่เขาจัดเตรียมทำให้ฉันนึกถึงหนังเรื่องปลายจวักที่เขาได้ทำอาหารถวายในพระตำหนักเรือประเคนเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนำเสนอวัฒนธรรมอาหารไทยที่มีอัตลักษณ์อันวิจิตร สะท้อนวิถีชีวิตในยุคสมัยนั้นและชมการแสดงรำ 6 ภาค อันได้แก่ การแสดงรำตาลีอีปัดของภาคใต้ , การแสดงรำผีตาโขนของภาคอีสาน , การแสดงฟ้อนของภาคเหนือ , การแสดงระบำสมุทราบูรพาทิศของภาคตะวันออกและการแสดงรำเหย่ยของภาคตะวันตกเยี่ยมชมสวนไทยเสร็จแล้วจึงออกเดินทางไปต่อยังประติมากรรมน้ำแข็ง สถานที่แห่งนี้ทำให้เด็กหญิงเจนและเพื่อนได้สัมผัสกับความหนาวเหน็บติดลบถึง 15 องศา แต่คุ้มค่าเมื่อแลกกับการเรียนรู้ เห็นฝีมือคนไทยที่สามารถนำน้ำแข็งมาปั้นเป็นรูปประติมากรรมต่าง ๆ เป็นเรื่องเป็นราว และยังสามารถปั้นเป็นสัตว์ในวรรณคดีหรือในป่าหิมพานต์ออกมาในรูปแบบของหิมะได้อย่างเลอค่า สวยสดงดงาม ไม่ว่าจะเป็น กรินทร์ปักษา วเนกำพู สกุณเหรา ขิหมี อัสดรเหรา และอีกมากมาย เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อ แวะซื้อของฝากกลับบ้านรูปภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน ในการเดินทางไปเปิดประตูสัญจรสู่โลกภายนอกในครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์การเรียนรู้ เกิดมุมมองความคิดได้หลาย ๆ อย่าง สำคัญคือระหว่างทางที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนมีความสุข ได้ทำอะไรหลายอย่างร่วมกัน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความภาคภูมิใจในงานฝีมือประติมากรรมและในความเป็นไทย ภูมิปัญญาต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาจวบจนยุคปัจจุบัน และยังมีซาบซึ้งที่เขานำความรู้ความพอเพียงของพ่อมาสานต่อ ในฐานะที่ได้ไปศึกษาแหล่งเรียนรู้ในวันนี้ขอนำความรู้ที่ได้รับนำกลับมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ หรือความพอเพียง การทำอาหาร ต่อไป---------------------------------------------------------------การเดินทางChonburi 11/02/63---------------------------------------------------------------