สักครั้งในชีวิต นั่งจิบกาแฟบนสะพาน ผมคิดเอาเองว่า เมื่อไหร่ที่ใจรู้สึกเซ็ง ๆ อยากปลีกวิเวกให้ไกลจากผู้คน ทะเลจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ผมนึกถึง เรียกว่า เป็นทะเลบำบัดก็คงไม่ผิดนัก วันนี้เลยมาบำบัดก้อนเนื้อทั้งสี่ห้องเสียหน่อย มันปวดร้าวมาทั้งวันกับความเดียวดาย หาความหมายของการตื่นเช้าไม่เจอ กลัวจะเป็นโรคซึมเศร้าตัดสินใจลาโลก ดังที่เป็นข่าวบ่อย ๆ สายตาพลันไปเห็นรีวิวร้านแฟซึ่งตั้งใจเปิดค้างไว้อยู่แล้ว น่าไปลองแหะ มือถือเหลือพลังงานไม่ถึง 20 % ท้องไส้ก็ปั่นป่วน เสียงโคกคากดังมาจากภายใน จนแทบจะปริทะลักผ่านชั้นไขมันตรงหน้าท้องออกมา หิวแล้วสินะเรา งั้นเอาร้านนี้แหละ บิดกุญแจขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรด มุ้งหน้าไปที่ Café on สะพาน ร้านกาแฟริมทะเลที่เขาว่ากันว่า มันตั้งอยู่บนสะพาน เป็นศาลาเก่า ดารานักร้องแวะเวียนไปถ่ายรูปกันเยอะ ดีเหมือนกัน เผื่อฟลุ๊คเจอใครสักคน จะได้เนียนถ่ายรูปอวดเพื่อนบนเฟซบุ๊คสักหน่อย ใช้เวลาไม่นานนัก วิ่งผ่านหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี มุ่งตรงไปที่สะพานชลมารควิถี ริมสองฝั่งเป็นทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา กลิ่นคาวลอยกระแทกโพรงจมูกจนอยากจะสำลัก ความรู้สึกเหมือนมีเศษซากสิ่งมีชีวิตเน่า ๆ อืดกำลังได้ที่ นอนตายอยู่หน้าปัดมอเตอร์ไซค์ และไม่มีทีท่าว่าจะหล่นง่าย ๆ เหม็นอะไรอย่างนี้วะ! มือขวาบิดคันเร่งจนสุดข้อมือ ตาเหลือบมองจีพีเอส ถึงหรือยังๆ ถ้าช้ากว้านี้อีกสักสองนาที ซากเน่าตัวตัวต่อไป คงไม่พ้นเราเป็นแน่ เดชะบุญ สวรรค์มีตา ฟ้าเข้าข้าง ถึงไวกว่าที่คิด เห็นป้ายเด่นแต่ไกลตรงปกเหมือนในกูเกิ้ลเป๊ะ หน้าร้านกว้างขว้างจอดสบาย ๆ แต่ก็นะ จะไปคิดอะไรเยอะ มอเตอร์ไซค์แทรกตรงไหนก็ได้อยู่แล้ว ร้านลักษณะเป็นศาลาเก่า ที่ผ่านการตกแต่งใหม่ชนิดไม่เหลือเค้าโครงเดิม ประตูอัตโนมัติเปิดต้อนรับราวกับรู้ว่ามีแขกมาเยือน ก้าวแรกที่สัมผัสเข้าไป ได้ยินเสียงหวาน ๆ เต็มไปด้วยความจริงใจ อ่อนโยน เหมือนดั่งเสียงสวรรค์ประทานลงมาสู่มนุษย์โลกเบื้องล่าง " ดูเมนูด้านนี้เลยลูก " หญิงวัยกลางคนท่าทางทะมัดทะแมง สวมเสื้อยืดชื่อร้าน กางเกงยีนส์รัดรูปดูสมส่วน ยืนต้อนรับอย่างเป็นมิตร คล้ายกับญาติพี่น้องที่ห่างหายไปนานรอเรากลับมา บรรยากาศในร้านน่ารัก มีมุมนั่งหลากหลาย ใครมาเป็นคู่โซฟานุ่มๆคงจะเหมาะ มาเป็นครอบครัวโต๊ะยาว ๆ เขาก็จัดไว้ให้ และสำหรับใครที่ไม่สนใจโลกอยากปลีกวิเวกท่ามกลางผู้คน เก้าอี้มุมเดี่ยวเขาก็มีนะ นั่งไปเลยหันหน้าเข้ากำแพงไม่ต้องรับรู้สิ่งใด อ้อ! ลืมไป ร้านมันติดทะเลนิ จะไม่ไปดูวิวทะเลก็ยังไงอยู่ เดินออกมาไม่ถึง 10 ก้าว เปิดประตูเลื่อนเบา ๆ ลมทะเลพร้อมกลิ่นคาวกระแทกใส่ใบหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลิ่นคาวน้อยกว่าตอนขี่มอเตอร์ไซค์มา ภายนอกร้านจัดโซนไว้เอาใจสายชิวยิ่งนัก มันเหมาะกับคนที่อยากจะไหลไปกับห่วงเวลา ปล่อยตัวปล่อยใจไม่สนโลกอันแสนวุ่นวาย นาทีนี้มีเพียงสายลม ทะเล และกาแฟเท่านั้น กาแฟ กาแฟ ใช่! เรายังไม่ได้สั่งกาแฟเลยนิ เสียมารยาทจริงเชียว เดินสำรวจซะรอบร้านแต่ไม่อุดหนุนเขาเลย รีบกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง พี่สาวคนเดิมยิ้มต้อนรับไม่เปลี่ยนแปลง ผมเดาว่าเขาคงเป็นเจ้าของร้าน แม้จะแต่งตัวเหมือนพนักงานทุกคนก็เถอะ แอบรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ตอนแรกเขาอุตส่าห์ชวนดูเมนูแต่เราเดินหนี เปิดพลิกเมนูไปมา กระดาษแต่ละแผ่นทำออกมาอย่างดี มันดูแข็ง ทนทาน ห่อพลาสติกทุกหน้า ตัวหนังสืออ่านง่ายใจ ผมอยากกินอะไรเย็น ๆ ดับกระหายเสียหน่อย แต่ด้วยนิสัยส่วนตัว มาร้านกาแฟทัังทีต้องลองเมนูต้นตำรับดั้งเดิม ใช่ครับ กาแฟดำ ผมเรียกแบนั้นนะ แต่ในเมนูก็คงจะเป็นเอสเพรสโซแหละ จัดมาก่อนหนึ่งแก้ววันนี้คงอีกยาว ผมเลือกนั่งบริเวณนอกร้านบรรยากาศสบายๆ พนักงานจะให้เครื่องส่งสัญญาณสีเขียว ๆ ติดมาด้วย พอสักพักมันจะดัง ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ หมายถึงว่าเมนูที่สั้งไว้ได้แล้ว ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ พี่สาวคนคนนั้นนั่งรอที่โต๊ะยิ้มให้ผมแล้วถามว่า " เบอร์อะไรลูก ของหนูมีอาหารด้วยมั้ย ? " " ไม่ครับ กาแฟอย่างเดียว " ผมตอบ ผมส่งคืนเจ้าเครื่องเขียว ๆ นั่นให้กับทางร้านพร้อมกับถือเเก้วเอสเพรสโซกลับมา ระหว่างเดินก็แอบคิด พี่เค้าทำทุกตำแหน่งจริง ๆ เนอะ ( ฮ่า ๆ ) น่ารักดี ผมกลับมานั่งตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ตำแหน่งที่ผมเลือกไว้แต่แรก ระเบียงนี้หันหน้าออกทะเล เห็นขอบน้ำไกลสุดลูกหูลูกตา เรือน้อยใหญ่วิ่งผ่านราวกับเป็นถนนสำหรับชาวเล นกบินตามกันเป็นฝูงในรูปทรงสามเหลี่ยม บางครั้งก็หลายเหลี่ยม แต่เท่าที่สังเกตทุกทริปจะต้องมีจ่าฝูงนำเป็นส่วนแหลม ๆ หน้าขบวนเสมอ ไม่รู้สึกว่านั่งร้านกาแฟเลยสักนิด ไม่เลย ไม่แม้แต่นิดเดียว เพราะเท่าที่สัมผัสได้มันคือบ้านอีกหลังที่พร้อมให้ความอบอุ่น ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วโมง ดวงอาทิตย์ถึงคราวออกกะ ค่อย ๆ จากหายไปราวกับถูกท้องทะเลกลืนกิน ไม่นานนักพนักงานหน้าใหม่เข้ามาแทนที่ วันนี้ดวงจันทร์กินน้อยไม่พองใหญ่เหมือนวันก่อน สงบดีจริง ๆ ลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้าเครียดอะไรมา " ขอเก็บถ้วยเลยนะครับ " เสียงอันแผ่วเบาเต็มไปด้วยความสุขุม ไม่มีท่วงทำนองของการไล่ กดดัน หรือบีบบังคับให้ลุกออกไปซะ ผมเอียงหน้าไปมอง เห็นพนักงานหนุ่มน้อย วัยไม่ถึง 30 กับร้อยยิ้มนั้นช่างพิมพ์ใจเหลือเกิน นี่แหละร้านแห่งครอบครัว อากาศเริ่มเย็นลง ไฟในร้านสว่างขึ้นทันตา วันนี้เป็นวันธรรมดาผู้คนไม่หนาตามาก แม้จะดูสงบ แต่รู้สึกได้ถึงความอิ่มใจที่ยังวิ่งพล่านไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลับก่อนล่ะ วันหน้าจะมาอีกครั้ง " ตื้ดดดด " เสียงประตูอัตโนมัติทำงานตามหน้าที่ " ขอบคุณนะลูก " ผมหันหน้าไปมอง พร้อมยิ้มให้ด้วยความปลื้มปริ่มใจ อ้าว! พี่สาวคนนั้นนิ แหม่ ทำทุกหน้าที่เลยนะ พี่ต้องเป็นเจ้าของร้านแน่ ๆ 😁 . ทุกรูปถ่ายจากสถานที่จริงโดย ประภาส เอี่ยมสอาด ( ภาส )