แม้ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตผ่านหน้าจอมือถือ คอมพิวเตอร์ จนบางทีเกือบจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้รุกคืนเราจะนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีเพื่อรอดูรายการที่ชอบ ซีรี่ยส์เรื่องโปรด หรือแม้กระทั่งการถ่ายทอดสดกีฬา และแน่นอนว่าอีกกิจกรรมยามเช้าที่ผู้ใหญ่วัยทำงานหลายคนชอบทำระหว่างนั่งจิบกาแฟก็คือ การอ่านหนังสือพิมพ์ หรือในตอนที่ว่างช่วงบ่ายเราก็จะหยิบเอานิตยสารที่ชอบขึ้นมาอ่านเพลินๆ เมื่อมาถึงยุคที่เทคโนโลยีสนองตอบการใช้ชีวิตมากขึ้น การดูทีวีแบบเดิมๆก็เปลี่ยนไป การอ่านหนังสือแบบเดิมๆยิ่งเปลี่ยนไป กลายเป็นมีหนังสืออ่านออนไลน์ ออดิโอบุคที่ไม่ต้องใช้สายตาอ่านอะไรเลย นี่คือความสะดวกแบบที่เราชื่นชอบในอีกด้านหนึ่งผมว่าหนังสือเป็นเล่มๆก็ยังมีเสน่ห์อยู่นะ ในห้องผมถึงได้เต็มไปด้วยหนังสือต่างๆมากมาย อรรถรสอันแท้จริงของหนังสือก็คือกลิ่นกระดาษ รูปเล่มที่สัมผัสจับต้องได้ ยิ่งใครที่เนิร์ดกับการอ่านมากๆที่ต้องมีการช็อตโน๊ต การขีดเส้นใต้ข้อความ การใช้ปากกามาไฮไลท์ประโยคเด็ดๆ มันเป็นอารมณ์ที่สุดจะคลาสสิคเลยก็ว่าได้ ซึ่งตรงนี้หากลองไปทำกับอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ไอแพด หรือโน๊ตบุ๊คมันก็ไม่ค่อยได้ฟิลเท่าๆไหร่เนอะ แล้วนิสัยชอบอ่านของผมก็กลายมาเป็นนิสัยชอบเขียนเข้าจนได้ ตอนนี้กำลังปั้นงานชิ้นแรกของตัวเอง "ถนน คน โอกาส" ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็จะออกมาเป็นรูปเล่มได้กลางปีนี้แน่นอน แต่ก่อนที่จะถึงตรงนั้นตอนนี้ผมมีหนังสือดี 3 เล่มจากเกือบ 40 เล่มที่ได้อ่านไปในรอบปีที่ผ่านมา แต่ละเล่มก็แตกต่างไปคนละสไตล์ แต่จุดร่วมของความต่างตรงนี้มันกลายเป็นสิ่งนำมาสู่การสร้างวิธีคิดใหม่ให้ผมได้ (มี 1 ใน 3 เล่มนี้ที่จะบอกว่าผมกลับมาอ่านซ้ำเป็นครั้งที่ 3) หนังสือทั้ง 3 เล่มที่ว่านี้ก็คือ1. How to be better at (almost) everything (วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด)2. Insanely Simple (เรียบง่ายเป็นบ้า)3. Think and grow rich (คิดแล้วรวย)ทั้ง 3 เล่มนี้ถือเป็นอีกประสบการณ์ของการเพิ่มทักษะ การผลักดันตัวเองไปสู่จุดของความสำเร็จที่มันเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของผม เรามาถอดรหัสกันดูนะครับว่าแต่ละเล่มนี้ซ่อนสุดยอดไอเดียที่เราจะหยิบมาใช้ยังไงได้บ้าง เริ่มจากเล่มแรกก็ How to be better at (almost) everything (วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด) ของ Pat Flynn สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกกับเราก็คือ "แท้จริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเก่งให้ถึงที่สุด" น่าแปลกที่เราต่างเคยเชื่อว่าทำอะไรก็ตามต้องให้มันสุดไปเลยในเรื่องนั้น เป็นหนึ่งเดียวในเรื่องนั้น เพื่อประกาศชัดให้โลกรู้ว่าข้าคืออันดับหนึ่งด้านนี้ จริงๆแล้วผมว่ามันก็ยังถูกต้องและใช่อยู่นะ เพียงแต่ว่าเราไม่ควรไปยึดติดกับทักาะหรือความสามารถอะไรแบบด้านเดียว เช่นคุณอาจเก่งโดดเด่นเป็นที่หนึ่งด้านการขาย เรียกว่าเคาะประตูบ้านใคร เจ้าของบ้านเป็นอันต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าคุณ แต่พอมาถึงยุคท่ีโลกเราเปลี่ยนไป การขายออนไลน์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ คุณดันไม่เชี่ยวชาญการอยู่หน้ากล้องเพื่อไลฟ์สดขายของซะงั้น หรือแม้กระทั่งไม่ถนัดเลยที่จะต้องมาสร้างคอนเทนต์สำหรับกระตุ้นยอดขายนั่นจึงจำเป็นเลยว่าความเก่งที่สุดในด้านหนึ่ง จะกลายเป็นความเก่งที่ไม่สุดเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไป อย่างน้อยเราควรเก่งหลายเรื่อง แบบไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดกับเรื่องไหน แต่พอมารวมทุกทักาะเข้าด้วยกัน กลายเป็นว่าทุกทักษะนั้นคือฝีพายชั้นยอดที่จะพาเรือที่เป็นคุณให้ทะยานลิ่วฝ่าคลื่นลมทะเลไปจนถึงฝั่งในที่สุด และนี่ก็คือข้อคิดสำคัญของ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด "แท้จริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเก่งให้ถึงที่สุด"เล่มต่อมาชื่อว่า Insanely Simple (เรียบง่ายเป็นบ้า) เป็นงานเขียนของ Ken Segall ผู้ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับมหาศาสดาแห่ง IT อย่าง Steve Jobs เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวแนวคิดการทำงานของ Jobs เอาไว้ได้ดีมากๆ เล่มหนึ่งที่น่าสนใจก็คือเรื่องของ "ความเรียบงาย" นั่นเองที่เราเคยเข้าใจกันก็คือความเรียบง่าย คือการกระทำง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่คิดเยอะ แต่สำหรับ Jobs ความเรียบง่ายคือศิลปะ ศิลปะที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็นปรัชญาของบริษัทแอปเปิ้ล แม้ทุกวันนี้จะไม่มี CEO ชื่อ Steve Jobs แล้วก็ตาม วัฒนธรรมความเรียบง่ายก็ยังคงถูกขับเคลื่อนต่อไปในองค์กรไม่เสื่อมคลาย ซึ่งจุดที่น่าสนใจที่สุกของความเรียบง่ายในแบบฉบับที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะสื่อก็คือ "เราจะต้องตัดกระบวนการอันซับซ้อน และทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำออกไปให้หมด" จุดสำคัญที่เราจะเข้าถึงแก่นของความเรียบง่ายก็คือการเข้าถึง "สติปัญญาและสามัญสำนึก" ให้ได้ ผมตีความวลีนี้ว่า เราต้องสร้างความเรียบง่ายขึ้นมาจากความรู้ของเรา อะไรที่เราไม่รู้มันจะไม่มีทางเป็นสิ่งที่เรียบง่าย อะไรที่เราอึดอัดลำบากใจที่ต้องตัดสินใจมักจะไม่ใช่ความเรียบง่าย อย่างหนึ่งที่จะบอกก็คือ jobs ถนัดนักกับการไล่ใครบางคนที่เขาเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับการประชุมหรือโปรเจคที่เขาต้องคุย ออกไปจากห้องประชุมได้หน้าตาเฉย ทีนี้ลองเป็นเราสิ มันคงเป็นการตัดสินใจที่เราเองคิดว่าทำให้ตัวเองดู้ร้ายๆและไม่มีมารยาทกับผู้อื่นประมาณนั้นเลย แต่ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับ Jobs เพราะเขาทำมันจนเสมือนสิ่งเรียบง่ายที่ต้องเผชิญนั่นคือเสน่ห์สำคัญที่เราควรนำมาปรับใช้ในชีวิต "ความเรียบง่าย" ง่ายจากการอย่าซับซ้อนเกินไปนัก สมัยนี้ท่ายากตายน้ำตื้นกันมาเยอะแล้ว เรามาทำแบบง่ายๆกันดีกว่า ให้คนที่เขาเก่งในการคิดท่ายากทำเรื่องง่ายๆไม่สำเร็จต่อไปเถอะครับแล้วก็มาถึงเล่มสุดท้ายที่บอกเลย นี่คือหนังสือขึ้นหิ้งของใครหลายคน (รวมถึงผมด้วย) เก็บไว้บนหิ้งวันดีคืนดีหยิบมาอ่านซ้ำก็ยังรู้สึกตะลึงพึงเพลิดกับความอัศจรรย์ตลอดกาลของเขาอยู่ Think and grow rich (คิดแล้วรวย) สำหรับใครที่ไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ต้องบอกก่อนว่า "คิดแล้วรวย" ไม่ใช่หนังสือทางการเงิน ทว่านี่คือหนังสือที่จะปรับเปลี่ยน Mind set ด้านการเงินของคุณไปตลอดชีวิตเป็นหนังสือที่ผู้เขียนคือ นโปเลียน ฮิลล์ ได้ทำการเก็บข้อมูลค้นคว้าศึกษาทฤษฎีความมั่งคั่งจากผู้ประสบความสำเร็จด้านการเงินมานับไม่ถ้วนเป็นเวลาหลายปี กว่าจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิคเล่มนี้ ซึ่งจะว่าไปแนวคิดต่างๆจากหนังสือเล่มนี้ปัจจุบันได้ถูกนำมาย่อยมาดัดแปลงบางพาร์ทบางส่วน ออกมาเป็นเรื่องราวใหญ่ๆมากมาย แต่โดยรวมแล้วคาถาความสำเร็จของจริงกลับอยู่ในหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ที่ผมสะดุดใจและนำมาใช้ในชีวิตจริงคือบทเรียนที่บอกว่า "ความคิดคือสินทรัพย์" เชื่อว่าหลายคนรู้และเคยได้ยินแล้วก็อยากทำตาม ใช่ไหมครับ ติดอย่างเดียวที่เราต่างเอาชนะมันไม่ได้สักทีสิ่งนั้นก็คือ "ความคิดเรานี่แหละ" เราจะไม่มีทางเป็นอย่างเราไม่ได้คิดเอาไว้ แม้บางคนจะเชื่อว่า อย่าไปคิดหวังอะไรเกินตัว อันนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก เมื่อคุณคิดว่าอย่าไปคิดหวังอะไรเกินตัว ตัวเราก็จะไม่กล้าคิดหวังอะไนที่มันใหญ่ นั่นหล่ะปัญหาผมตกผลึกได้จากแนวคิดของหนังสือเลบ่มนี้ ทุกบททุกตอนทำให้เข้าใจว่าอ๋อที่แล้วมามันพลาดอะไร พอเข้าใจแล้วปรับใช้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทุกวันนี้แม้จะยังไม่ใช่แต่ผมก็มองมูลค่าชีวิตและงานของผมว่ามันมีมูลค่ามากกว่าหลักล้านแบบไม่ต้องสงสัยและนี่ก็คือหนังสือเด็ดทั้ง 3 เล่มที่หยิบเอาไอเดียแต่ละเล่มมาเล่าให้ฟังครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาถึงตรงนี้ พบกันใหท่เรื่องราวครั้งหน้า วันนี้ โชติพงษ์ สวัสดีทุกท่านครับเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !