อื่นๆ

วิญญาณแค้นของผีตาปั่น

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
วิญญาณแค้นของผีตาปั่น

บ่ายแก่ๆในวันที่ฝกตกหนัก “เปรี้ยงๆ” เสียงฟ้าผ่าก็ดั่งสนั่นมาเป็นระยะๆ “พรึ่บ” ยังไม่ทันที่จะได้เตรียมเทียนหรือไฟฉาย ไฟฟ้าก็ชิงดับลงไปเสียก่อน ท้องฟ้าที่มืดคลึ้มเต็มไปด้วยเมฆฝน ยังพอมีแสงสลัวๆส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเกล็ด ผู้เขียนขณะนั้นอยู่ในวัยกำลังซน ถูกพี่ชายลูกพี่ลูกน้องชักชวนให้เล่นหลอกผีน้องคนเล็กก็รีบตกลงทันที พี่ชายซักซ้อมแผนการร้ายให้เราทำหน้าที่ล่อน้องไปที่ห้องครัวหลังบ้าน จากนั้นพี่ชายที่ทาหน้าด้วยแป้งเด็กจนขาวโพลน ก่อนจะโผล่พรวดออกมาจากมุมมืดของห้องครัว น้องเล็กที่ไม่ทันระวังตัวร้องจ้าเสียงดังพร้อมๆกับเสียงหัวเราะร่าของพี่ๆ แม่และยายที่กำลังวุ่นวายกับการจุดเทียนวางไว้ในจุดต่างๆได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบรุดมาดู เมื่อถามไถ่จนได้ความแม่จึงดุเราและพี่ชายไปหนึ่งยก ยายที่ยืนฟังอยู่เงียบๆสักพักแล้วหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพูดว่าถ้าชอบผียายจะเล่าให้ฟังเอามั้ย เรากับพี่ชายพยักหน้าหงึกๆด้วยสนใจ ยายจึงสร้างข้อตกลงว่าต้องช่วยกันทำงานบ้านและกินข้าวให้เสร็จก่อนยายจึงจะเล่าให้ฟัง

Advertisement

Advertisement

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ฝนยังคงตกปรอยๆและไฟฟ้าก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เราและพี่ชายเตรียมหมอนมานอนตรงหน้าที่วีซึ่งในขณะนั้นใช้งานไม่ได้ ยายนั่งลงบนเก้าอี้โยกตัวโปรด“พร้อมกันแล้วนะ”ยายเอ่ยถามก่อนเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้าของคุณตาปั่น เพื่อนรุ่นพี่ของยายที่รู้จักกันตั้งแต่ครั้งยายยังเป็นสาว ยายเล่าว่าคุณตาปั่นแกเป็นลูกคนมีเงิน บ้านแกอยู่หมู่บ้านใกล้ๆนี่แหละ บ้านแกมีที่นาหลายไร่และเลี้ยงควายคอกใหญ่ ที่ยายได้ลูกจักกับคุณตาปั่นก็เพราะว่ายายไปรับจ้างเกี่ยวข้าวให้กับครอบครัวของคุณตาปั่นทุกปี นายจ้างให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีแถมค่าแรงค่าเหนื่อยก็คุ้มราคา ตัวคุณตาปั่นเองก็จะมาร่วมลงแขกเกี่ยวข้าวด้วยและถึงแม้ว่าแกจะเป็นลูกเจ้าของนาแต่แกก็ทำงานด้วยความขยันขันแข็งไม่ต่างจากลูกจ้าง อีกทั้งยังมีอัธยาศัยที่ดีจึงทำให้แกเป็นที่รักใคร่ในบรรดาผู้ใหญ่ และเป็นที่หมายปองของสาวๆน้อยใหญ่ที่ทำได้แค่กินแห้วไปพลางๆ เพราะคุณตาปั่นกำลังปลูกต้นรักกับสาวสวยที่ชื่อสะอาดลูกแม่ค้าขายไข่ในตลาด ผ่านไปหนึ่งปีความรักสุกงอมทั้งคู่จึงตัดสินใจร่วมหอลงโลงกัน โดยฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายย้ายมาอยู่ที่บ้านสามี อยู่กินกันได้ไม่นานน้องชายต่างมารดาของภรรยาก็ได้มาขออาศัยอยู่ด้วย โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าน้องคนนี้เป็นโจรห้าร้อยหลบหนีคดีมา ก่อนน้องชายตัวร้ายจะก่อเหตุปล้นชิงทรัพย์และฆ่ากรรมพี่เขยและพี่สาวแท้ๆของตัวเองแล้วนำศพพี่เขยไปทิ้งไว้ที่บึงน้ำปลายทุ่งนา กว่าคนจะไปพบศพแกก็ปาเข้าไปบ่ายๆของอีกวัน สภาพศพเป็นที่น่าสลดหดหู่สำหรับผู้พบเห็นแขนทั้ง 2 ข้างของแกถูกมัดไพร่หลังลักษณะหักงอผิดรูปผิดร่าง ที่ศรีษะเหนือกกหูขึ้นไปมีรอยกระสุนเจาะที่ด้านซ้ายทะลุออกด้านขวาเป็นแผลเหวอะวะ คราบเลือดที่แห้งกรังติดตามรูจมูกและปาก ข้างๆกันพบศพคุณยายสะอาดถูกฆ่าด้วยการรัดคอสภาพศพสยดสยองไม่น้อยไปกว่ากัน 

Advertisement

Advertisement

การฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมกลายเป็น Talk the town ของคนทั้งอำเภอ ตำรวจเองก็ให้ความสนใจและเร่งจับกุมคนร้ายมาลงโทษ โดยมีการประสานงานไปยังผู้นำชุมชนแต่ละหมู่บ้านทั่วทั้งอำเภอ ให้เกณฑ์อาสาสมัครที่เป็นชายฉกรรจ์ปูพรมค้นหาในพื้นที่รกร้าง ผ่านไป 3 วันก็ยังไม่พบตัวจนกระทั่งวันที่ 4 ลูกน้องคนนึงของเสือเก่งเข้ามอบตัวกับตำรวจโดยให้การว่าเสือเก่งมีอาการคลุ้มคลั่งทำร้าย ต่อยตีและฆ่าลูกน้องตัวเองคล้ายคนโดนผีเข้า ตนเองรู้สึกกลัวจึงหลบหนีมามอบตัวเพราะคิดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า พร้อมทั้งบอกพิกัดที่หลบซ่อนตัวของเสือเก่งให้กับตำรวจ ตำรวจจึงนำกำลังเข้าจับกุมเสือเก่งที่กระท่อมล้างท้ายป่าช้าตามคำให้การของลูกน้องคนสนิท แต่เสือเก่งขัดขืนใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ ตำรวจจึงจำเป็นต้องวิสามัญเป็นอันปิดตำนานเสือเก่ง แต่ถึงแม้ว่าคนร้ายจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสมแต่วิญญาณของคุณตาปั่นก็ยังคงวนเวียนอยู่ ในทุกๆค่ำคืนชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นจะเจอกับวิญญาณของแกมาทุบประตูบ้านแล้วเรียกให้ช่วยด้วยน้ำเสียงโหยหวนว่า " ช่วยกูหน่อยๆ" จนชาวบ้านต้องรีบดับตระเกียงนอนและไม่มีใครกล้าออกไปไหนมาไหนตอนกลางคืน เวลาผ่านไปหลายเดือนชาวบ้านก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

Advertisement

Advertisement

จนอยู่มาคืนนึงฝนตกพรำๆเสียงกบร้องระงม ตาชวนยายไปแทงกบ (การจับกบเพื่อนำมาประกอบอาหาร) ที่ทุ่งนาใกล้ๆบ้าน โดยยายถือตะเกียงไปด้วย 1 ดวง เมื่อไปถึงทุ่งนาตาทำหน้าที่ลงไปแทงกบโดยยายนั่งรออยู่ที่คันนา ตาเดินลงผืนนาไปอย่างเบาฝีเท้ายื่นตะเกียงออกไปด้านหน้าเพื่อส่องหากบ เมื่อเจอการจัดการพุ่งชมวกลงไปจับได้บ้างไม่ได้บ้างอยู่ 4-5 ครั้งตะเกียงก็เกิดดับลง รอบๆตัวจึงมืดสนิทมีเพียงแสงจางๆจากดวงจันทร์เท่านั้นตาจึงหันหลังกลับเพื่อไปเอาไม้ขีดที่ยายมาจุดตะเกียง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆยายกลับเห็นเหงาตะคุ่มๆของใครบางคนนั่งอยู่ข้างๆ ตายังไม่กล้าเอ่ยปากทักแต่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าแลบส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ ร่างของชายวัยกลางคนที่มีแผลเหวอะวะนั่งชันเข่าอยู่ข้างๆยายปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ร่างนั้นจ้องมาที่ตาและส่งยิ้มอย่างเยือกเย็น ตารู้ในทันทีว่านั้นคือผีตาปั่นแต่ไม่กล้าพูดอะไรรีบคว้าแขนยายแล้วพากันวิ่งกลับบ้าน ภาพที่น่าสยดสยองนั้นทำเอาตาเป็นไข้จับสั่นอยู่หลายวัน ยายเล่าต่อมีคนพบเห็นวิญญาณตาปั่นอยู่เรื่อยๆเป็นเวลาหลายปี แต่ช่วงหลังๆมาไม่มีใครพบแกแล้วแกคงไปผุดไปเกิดแล้ว จบเรื่องที่ยายเล่าทำเอาเราและพี่ชายไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำ เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศดีผิดกับเมื่อวาน เราและครอบครัวเลยนั่งกินข้าวเย็นกันที่หน้าบ้านจู่ๆน้องสาวคนเล็กวัยกำลังหัดพูดชี้ไปที่ถนนหน้าบ้านพร้อมพูดว่า “ผี ผี ผีตาปั่น” สิ้นคำพูดน้องแม่และยายรีบเก็บกับข้าวเข้าบ้าน น่าแปลกที่น้องคนเล็กผู้ไม่ได้ฟังเรื่องเล่าของยายกลับรู้จักผีคุณตาปั่น หรือจริงๆแล้ววิญญาณของแกยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไหน

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.gotoknow.org

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์