เมื่อนานมาแล้ว สมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พวกเราได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนหนึ่งบนเกาะกูด เป็นโฮมสเตย์ ชื่อว่า บ้านเส บรรยากาศดีมาก มีทะเลส่วนตัว ชายหาดส่วนตัว ระเบียงส่วนตัว ที่ดำนำดูปะการังส่วนตัว และสารพัด ความเป็นส่วนตัวอีกมากมาย คือ เราสามารถเอาคำว่า "ส่วนตัว" ใส่เข้าไปในอะไรก็ได้ที่เราพบที่บ้านหลังนี้ ความทรงจำเก่า ๆ เลือนลาง เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปกว่า 10 ปี จนกระทั่งโลกกลม ๆ พาเราโคจรมาพบกันอีกครา ด้วยเทคโนโลยีที่ย่อเราให้ใกล้กัน เราพูดคุยผ่านคลื่นที่มองไม่เห็นอย่างเพลิดเพลินตามประสาเพื่อน จนกระทั่งวกเข้ามาเรื่อง บ้านริมทะเลแสนสบายหลังนั้น ได้ข่าวว่าทรุดโทรมไปมาก เพื่อนกำลังจะซ่อมแซมและเปิดให้บริการอีกครั้ง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการไปเกาะกูดกันอีกรอบ วิธีการเดินทางไปเกาะกูดมี 2 วิธี คือ 1. ไปขึ้นเรือโดยสารที่แหลมศอกจังหวัดตราด 2. นั่งเครื่องบินส่วนตัวไปลงที่เกาะไม้ซี้ แล้วก็ต่อเรือมาเกาะกูด ผมพูดเรื่องจริงครับ มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงมากเลย ผมก็พึ่งรู้ว่ามีสนามบินที่เครื่องบินสามารถมาลงได้ที่เกาะกูด ซึ่งอย่างหลังนี้ดูไฮโซเกินไปไม่เหมาะกับพวกเราเท่าไร จึงเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าเราจะเดินทางโดยเรือ พวกเราออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อจะได้ไปถึงจังหวัดตราดก่อนจะค่ำ ระยะเวลาการเดินทางจาก กรุงเทพด้วยรถยนต์ส่วนตัว ใช้เวลาราว ๆ 5 ถึง 6 ชั่วโมง เรามาถึงอำเภอเมืองตราดประมาณบ่ายแก่ ๆ ซึ่ง ถ้าจะต่อไปเกาะกูดเลย คงไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะส่วนมากเรือโดยสารที่จะไปเกาะกูด จะออกช่วงเช้ากับเที่ยง ช่วงเย็นหรือค่ำไม่ค่อยนิยมเดินเรือ แต่หากอยากไปจริง ๆ ก็สามารถเช่าเรือสปีดโบ้ทได้ แน่นอนว่าราคาสูงเอาการ ที่สำคัญคือ ไม่ปลอดภัย เป็นดังนี้เราก็เลยต้องพักกันในตัวเมืองตราดก่อน 1 คืน รุ่งเช้าถึงจะได้ไปยังเกาะกูด ระหว่างนี้เราก็เลยแวะซื้อของใช้จำเป็นอื่น ๆ เพิ่มเติม พวกน้ำดื่ม น้ำมัน อาหารสด อุปกรณ์กันยุง เพราะที่พักของเราตัดขาดจากแหล่งชุมชมบนเกาะ นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดหิวขึ้นมา เป็นเรื่องยากมากที่จะหาอะไรกินได้สะดวกแถวนั้น ยกเว้นแต่จะบุกป่าที่่ด้านหลังที่พักเพื่อเข้าไปล่าอะไรมากิน ก็ดูตั้งในเกินไปหน่อย ตรงนี้ขอให้คำแนะนำว่า ถ้าจะไปเที่ยวเกาะกูดให้คำนวนเวลาดี ๆ มาให้ถึงแหลมศอกก่อนเที่ยงจะดีมากจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่า ๆ 1 คืนครับ เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง พวกเราออกจากตัวเมืองไปสู่แหลมศอก ซึ่งเป็นท่าเรือที่จะพาเราเดินทางต่อไปยังเกาะกูด ที่นี่มีเรือมากมายหลายเจ้าให้เลือก บางเจ้ามีรถรับส่งจากตัวเมืองมายังท่าเรือ บางเจ้ายิ่งกว่านั้นมีบริการ รับ ส่ง ถึงในกรุงเทพฯ หรือ จากสนามบินสุวรรณภูมิ เรียกว่าไปเกาะกูดไม่ยากเหมือนสมัยก่อน เมื่อนานมาแล้วที่คนยังไม่นิยมมาเกาะกูด ถ้าอยากไปต้องติดต่อเรือประมงพื้นบ้าน นั่งเรือกันเป็นวัน ๆ กว่าจะถึง เดี๋ยวนี้สบายขึ้นเยอะ สำหรับคนที่ขับรถมาเองไม่สามารถเอารถไปบนเกาะได้ จะต้องจอดรถทิ้งไว้ที่ฝั่งแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเรือโดยสารแต่ละเจ้าก็จะมีที่จอดรถไว้บริการบางเจ้าก็คิดค่าจอดรถ บางเจ้าก็ให้บริการที่จอดรถฟรี ถ้าอย่างไรก่อนซื้อตั๋ว ก็สอบถามเรื่องที่จอดรถเอาไว้ก่อนนะครับ พวกเราออกจากแหลมศอกราว 10 โมงเช้า มาขึ้นฝั่งเกาะกูดที่ท่าเรืออ่าวสลัด เกือบ ๆ เที่ยง เวลาในการเดินทางโดยเรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าวันไหนคลื่นลมสงบการเดินทางก็จะรวดเร็ว แต่ถ้าคลื่นลมแรง การเดินทางก็จะเสียเวลามาก แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2 ชั่วโมง เมื่อมาถึงเกาะกูดที่บริเวณท่าเรืออ่าวสลัด หรือ หมู่บ้านอ่าวสลัดพวกเราก็ขนสัมภาระมากมายลงจากเรือ เพื่อรอเรือเล็กมารับเราไปที่บ้าน ตอนนั่งเรือมาถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นสะพานท่าเรือยาว ๆ ก่อนจะถึงอ่าวสลัด บริเวณนี้เรียกว่าแหลมศาลา ชาวเกาะจะรู้จักกันดีในชื่อ โฮมสเตย์ บ้านเส ซึ่งก็คือบ้านที่เราจะไปพักกัน เราหาข้าวกลางวันทานกันที่ท่าเรืออ่าวสลัด น่าแปลกในที่ราคาอาหารเป็นราคาปกติ 30 40 50 บาท แล้วแต่ว่าเราจะมีอะไรเพิ่มมากแค่ไหน ถ้าไปตรงจุดอื่นของเกาะอาจได้เจอราคาหลักร้อย พูดคุยสัพเพเหระ กับเจ้าของร้านได้ครู่เดียว เรือที่จะพาเราไปที่พักก็มาถึง น้ำทะเลสีเขียวเวอร์ริเดียน ที่เรากำลังล่องลอยอยู่ตอนนี้ใสแจ๋ว จนมองลงไปเห็นพื้นทรายด้านล่าง ลมที่ปะทะกับใบหน้าแรงขึ้นตามความเร็วของเรือ รุนแรงเหมือนกับจะพัดพาความกังวลต่าง ๆ ให้หลุดลอยหายไป ท้องฟ้าครึ้ม ไม่ร้อนแรงด้วยแสงอาทิตย์ ยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่นสบาย ต่างจากแดดร้อนในเมืองใหญ่ ผมชอบบรรยากาศของการนั่งเรือรับลมในทะเลเป็นที่สุด นั่งปล่อยใจล่องลอยไปโดยที่ไม่ต้องไปคิดอะไร นี่ล่ะมั้งที่เค้าเรียกว่านั่งโง่ ๆ จากหมู่บ้านอ่าวสลัดยังไม่ทันไรเราก็มาถึงสะพานท่าเรือยาว ๆ เราเอาเรือเทียบท่าแล้วก็ค่อย ๆ ช่วยกันขนของลงจากเรือ ความทรงจำเมื่อ 10 ปีก่อนหวลกลับมาอีกครั้ง พิจารณาจากสายตาทุกอย่างยังดูโอเค แม้จะมีร่องรอยการกัดเซาะของน้ำจนผุพังอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากจนเกินไปแต่ทว่าเมื่อเดินเข้ามาถึงตัวบ้าน กลับพบความทรุดโทรมอย่างหนัก มีหลาย ๆ จุดที่ไม้ผุจนพัง ทางเดินเชื่อมจากตัวบ้านไปในครัวถล่มจนใช้การไม่ได้ คงโดนแรงของคลื่นซัดจนเสียหาย ที่นอน หมอน ขึ้นรา ใช้นอนไม่ได้ นั่นหมายความว่าวันนี้คงต้องนอนที่ระเบียงบ้าน ห้องน้ำใช้ได้แต่ต้องทำความสะอาดซักหน่อย เพื่อนผมนำเดินต่อลึกเข้าไปในป่าหลังบ้าน ซึ่งเป็นที่วางเครื่องปั่นไฟโบราณ พวกเราใช้เวลาง่วนอยู่พักใหญ่ เจ้าเครื่องปั่นไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แหมโชคดีจริง ๆ ผมคิดว่าจะได้ย้อนยุคไปก่อกองไฟหรือใช้ตะเกียงกันซะแล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีข่าวร้ายนั่นคือ เครื่องสูบน้ำใช้การไม่ได้ ไม่มีน้ำจืดสำหรับทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะเข้าห้องน้ำก็คงต้องตักน้ำทะเลไปใช้แก้ขัดก่อน พระอาทิตย์ตก ลับไปทางทิวเขาหลังบ้าน ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา เจ้าเครื่องปั่นไฟตัวนี้กินน้ำมันเป็นอาหาร เราเทน้ำมันที่เราซื้อติดมาลงไปบางส่วน คำนวนดูแล้วน่าจะพอให้ใช้ได้ราว ๆ 4 ชั่วโมง ถ้าน้ำมันหมดเครื่องก็จะดับ ไฟฟ้าของเราก็จะหายวับไป ดังนั้น ใครจะทำอะไรก็ต้องรีบ ๆ ทำ ผมจึงต้องรีบชาร์จแบตมือถือเอาไว้ให้เต็ม สำหรับใช้แทนไฟฉายไปในตัว เพราะถ้าไฟดับตอนกลางคืน คงไม่ดีแน่ถ้าต้องลุยป่าเข้าไปเติมน้ำมันในป่ารกขนาดนั้น ดูสภาพป่าแล้วจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีไดโนเสาร์โผล่ออกมา เราอาจกลายเป็นอาหารไดโนเสาร์ได้ง่าย ๆ ก่อนฟ้าจะมืดไปกว่านี้ เราอาศัยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชื่อดังประทังความหิว ด้วยบรรยากาศเสียงคลื่นซัดสาด และลมทะเลเย็น ๆ อาหารง่าย ๆ ก็อร่อยหรูหราขึ้นมาได้เหมือนกัน เมื่ออิ่มหนำสำราญดี ผมกับเพื่อนก็วางแผนการกันต่อว่า พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เมื่อฟ้าเริ่มมืด ยุงก็เริ่มมา แม้ว่าเราจะมียากันยุงทั้งชนิดทา ที่เรียกว่าแทบจะอาบกันอยู่แล้ว เรายังมีชนิดที่จุดแล้วได้ควัน จุดไว้จนเมา ที่เค้าเรียกเมายากันยุงก็คงอาการนี้ ควันของเราคงไปรบกวนยุงเจ้าถิ่น จนอาจทำให้ยุงบางตัวไม่พอใจมาบ่น หวี่ ๆ ที่ข้างหูของเราให้พอรำคาญ พอค่ำลง เราจะเห็นแสงไฟของเรือประมงพื้นบ้าน เค้าออกไปหาปลากันตอนกลางคืน การไปตกหมึกก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเมื่อมาถึงเกาะกูด แต่ทริปนี้เรามาแบบประหยัดเราก็เลยตัดทริปตกหมึกออก ครั้งนี้จึงไม่ได้ไปตกหมึก แต่หากใครที่ไม่เคยไปตกหมึก ขอแนะนำเลยครับว่า เป็นกิจกรรม ที่พลาดไม่ได้ ออกทะเลไปกับเรือประมงพื้นบ้าน เอาอุปกรณ์ทำกับข้าวติดไปด้วย พอตกหมึกได้ ก็ทำกินกันสด ๆ บนเรือ ได้อรรถรสเป็นอย่างมาก พระอาทิตย์กลมโตสีแดงเหมือนไข่เค็มโผล่จากเส้นขอบฟ้ามาปลุกเรายามเช้า บ้านหลังนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เราจึงได้เห็นพระอาทิตย์ขี้นสวย ๆ ตอนรุ่งสาง โดยปกติ ตอนสาย ๆ อากาศยังไม่ร้อน แดดยังไม่แรง มีกิจกรรมอีกอย่างที่น่าสนใจ นั่นก็คือการไปดำน้ำดูปะการัง ที่บริเวณ แหลมศาลาหรือรอบ ๆ บ้านเสนี้ มีจุดให้ดูปะการังหลายจุด เรียกได้ว่าเป็นแหล่งที่ ไกด์มักจะพานักท่องเที่ยวมาลงน้ำดูปะการังกัน ถ้าได้มาพักที่บ้านเส ก็สามารถหิ้วอุปกรณ์ดำน้ำแล้วพายเรือไปชมปะการังเองได้เลย ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสบาย ๆ เพื่อนผมก็ทำธุระยามเช้าเสร็จพอดี ด้วยน้ำทะเล พร้อมจะไปผจญภัยกันต่อแล้ว แน่นอนครับว่าเรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลยตั้งแต่เมื่อวาน จนผมเริ่มมีอาการคันไปทั่วทั้งตัว เหมือนเพื่อนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร มันก็เลยบอกโปรแกรมของวันนี้ ว่าเดี๋ยวเราเตรียมอุปกรณ์ไปอาบน้ำในวัดที่ฝั่งอ่าวสลัดกัน ฟังแบบนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อยคิดว่าจะต้องอยู่สภาพนี้ไปอีกวัน หลังจากเรากินข้าวเช้าเสร็จ เรือก็มารับเราเพื่อที่จะไปยังหมู่บ้านอ่าวสลัด หรือ ท่าเรืออ่าวสลัดที่เรามากันเมื่อวาน เช้าวันนี้คลื่นลมสงบราบเรียบ จนไม่คิดว่าเป็นทะเลคิดว่าเป็นสระว่ายน้ำเสียมากกว่า ตรงนี้ต้องยกความดีให้คนโบราณที่เลือกทำเลสร้างที่พักอาศัยอยู่ในที่คลื่นลมสงบ ผมเคยไปเที่ยวทะเลหลายที่และขอบอกเลยว่ายามที่คลื่นลมรุนแรงมันน่ากลัวมาก เมื่อคลื่นลมสงบเรือเล็กจึงแล่นได้เร็วขึ้นเพราะไม่ต้องหลบคลื่น ทำให้เรามาถึงอ่าวสลัดได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นชีวิตก็ต้องเจออุปสรรคอยู่เรื่อย ๆ เราขึ้นมาพร้อมกับข่าวร้ายที่ว่า ตอนนี้ น้ำประปาฝั่งอ่าวสลัดไม่ไหล อาจจะไหลอีกทีตอนบ่ายหรือเย็น ๆ เลย โอ๊ย แย่แล้ว ความหวังที่จะได้มาอาบน้ำต้องพังคลืนลงทันที แต่เดี๋ยวก่อน ลองคิดสิ สมัยก่อนคนที่อยู่บนเกาะเค้าจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีน้ำจืดเลย ใช่แล้ว เราเปลี่ยนแผนกันทันที โดยวันนี้ เราจะไปอาบน้ำกันที่น้ำตก ในเกาะกูดจะมีน้ำตก 2 แห่ง คือน้ำตกคลองใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านอ่าวสลัด และคาดว่าคนคงไปที่น้ำตกนี้กันเยอะ ดังนั้นน้ำตกแห่งที่สองจึงเป็นตัวเลือกในการไปอาบน้ำที่ดีกว่า ถึงแม้จะไกลกว่า แต่คนน่าจะน้อย ที่ต้องลุ้นกันต่อก็คือ จะมีน้ำไหม เพราะว่าตอนที่เราไปเป็นหน้าแล้ง อีกกิจกรรมที่แนะนำสำหรับคนที่มีทักษะการขับขี่รถมอร์เตอไซค์ ก็คือการเช่าเจ้ารถสองล้อแล้วตระเวณเที่ยวไปรอบ ๆ เกาะ ซึ่งเราสามารถใช้เวลาเต็ม ๆ หนึ่งวันในการเที่ยวรอบเกาะได้เลย ที่บริเวณท่าเรือจะมีร้านมอร์เตอร์ไซค์ให้เช่าอยู่มากมาย พวกเราเลือกมาได้ 1 คันแล้วก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตกแห่งที่สองของเราหรือก็คือน้ำตก คลองวังเจ้า นั่นเอง เมื่อมาถึงน้ำตกคลองวังเจ้าเราต้องจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินเท้าเข้าไป เพราะว่าต้องเดินเป็นระยะทางไกล นักท่องเที่ยวจึงไม่นิยมมาที่นี่กัน แต่ต้องบอกเลยว่าอย่าได้พลาดเชียวเพราะทางเดินนั้นร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ระหว่างทางมีเสียงน้ำตกไหลกระทบหิน ทำให้การเดินไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญคนน้อยมาก ๆ สามารถเล่นน้ำกันได้อย่างเป็นส่วนตัว แต่กระนั้นก็ไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจนน่ากลัวเพราะระหว่างทางเราก็ยังเจอนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ ประปราย เมื่อถึงน้ำตก เราก็มองหาทำเลที่พอจะเป็นส่วนตัว แล้วก็อาบน้ำกันให้สดชื่น ใกล้ชิดธรรมชาติสุด ๆ เหมือนได้เอาตัวเข้าไปอยู่ในหนังผจญภัยซักเรื่องอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเราก็ซิ่งเจ้าสองล้อไปจนทั่วเกาะ ที่บริเวณตอนล่างของเกาะกูดจะมีจุดที่เรียกว่า แหลมอ่าวใหญ่ เป็นพื้นที่ชุมชนของชาวประมงอีกแห่งหนึ่งบนเกาะกูด ที่นี่จะมีร้านอาหารทะเลของคนพื้นที่เป็นแบบบ้าน ๆ อยู่หลายร้าน ราคาก็จะถูกกว่าร้านหรู ๆ ของนายทุนเจ้าของรีสอร์ทซักหน่อย สนนราคาอาหารทะเลก็อยู่ที่เริ่มต้น 100 บาท ส่วนพวกปูทะเล กั้ง ปลา ก็จะคิดเป็นกิโลกรัม อยู่ที่กิโลกรัมละ 400 - 500 บาท ปรุงให้เสร็จสรรพพร้อมรับประทานได้ อาหารจานเดียวที่ใส่ของทะเล ก็จานละ 100 - 150 บาท เรามีเจ้าประจำที่ขายแมงดาทะเล วันนี้เราทักไลน์ไปแต่เช้า ว่าจะไปซื้อมาเผากินกันตอนค่ำ แต่เที่ยวกันอย่างเพลิดเพลินเกินไปหน่อย จนลืมแวะไปที่ร้าน กระทั่งได้เวลาคืนรถจึงต้องกลับสู่บ้านของเราเสียก่อน เย็นนี้น้อง ๆ บอกว่าเดี๋ยวจะทำกับข้าวแซ่บ ๆ ให้กิน อย่าพึ่งกินอะไรให้รอก่อน เห็นเดินดุ่ม ๆ หายไปครู่ใหญ่ ก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำขนาดมหึมา พอมาถึงผมชะโงกดู ไม่อยากจะเชื่อสายตา มันเป็นปูทะเล พวกนี้ไปเดินหาปูทะเลกันมา โอโห้ สุดยอด ได้มาหลายตัว Survival มาก ดังนั้นมื้อสุดท้ายของทริปนี้ เราก็ได้กิน ซีฟู้ด ปูนึ่งกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด แบบฟรี ๆ ไม่เสียเงิน ใครคิดจะเลียนแบบ ให้ระมัดระวัง อย่าไปจับหอยมือเสือขึ้นมากินเป็นอันขาดนะครับ ปู กุ้ง ปลา กินได้ แต่หอยมือเสียห้ามจับห้ามกิน ผิดกฏหมาย ถ้าชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่มาเห็นอาจโดนจับ ปรับ ได้ครับ กระทั่งถึงวันที่ต้องกลับเราใช้เวลารวมการเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ - เกาะกูด ทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ผมนั่งคิดมาตลอดทางกลับบ้านว่าทริปแบบนี้ ทำอาหารเอาชีวิตรอด อาบน้ำตก จับปู เดินผจญภัยในป่า ไปซ่อมเครื่องปั่นไฟ ไปกินอาหารที่ร้านบ้าน ๆ หลาย ๆ คนอาจร้องยี้ ขอเที่ยวเกาะเล่นน้ำทะเลแบบหรูหราจะดีกว่า แต่ผมกลับคิดต่างออกไป การได้มาผจญภัยอะไรแบบนี้ก็สนุกและหาไม่ได้ง่าย ๆ ไม่แน่ในอนาคตที่นี่อาจจะเป็นโฮมสเตย์แนวเอาตัวรอด ต้องรอด ที่ เกาะกูด ก็เป็นได้ ภาพถ่ายทั้งหมดโดย Ounjang