“ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณีแข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง” เบื้องต้นที่กล่าวมานั้น เป็นคำขวัญของจังหวัดบึงกาฬจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน ที่ตั้งอยู่เหนือสุดของภาค ได้แยกตัวออกมาจากจังหวัดหนองคายเมื่อปี 2554 จังหวัดเล็ก ๆ แห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามซ่อนตัว รอให้ผู้คนมาสัมผัสอยู่มากมายทีเดียวเนื่องด้วยตอนนี้สถานการณ์โควิดรอบ 3 กำลังระบาดอย่างหนักในหลายพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวกันได้ เลยจะถือโอกาสมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดบึงกาฬไว้ หากสถานดีขึ้นเป็นปกติเมื่อไหร่ ทุกคนคงจะได้เดินทางไปสัมผัสด้วยตนเองกันนะครับ เริ่มต้นกันที่แรกที่ "ภูทอก" หรือ "วัดเจติยาคีรีวิหาร" ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 222 ไปทางอำเภอศรีวิไล มีป้ายบอกทางเป็นระยะ ๆ อยู่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 50 กิโลเมตร โดยที่ตัววัดนั้นจะตั้งอยู่เชิงเขา และจะมีสะพานไม้สร้างวนเวียนขึ้นไปสู่ยอดเขารวม 7 ชั้น เพื่อเป็นทางเดินขึ้นไปยังกุฏิ และถ้ำที่อยู่ตามหน้าผา โดยที่สถานที่ที่เป็นวัดส่วนใหญ่ ก็จะเป็นผู้สูงอายุที่จะมากัน แต่หากมองจากภาพหรือรีวิวแล้วนั้น อาจจะคิดว่ามันดูสวยงาม และไม่น่าจะขึ้นไปยากซักเท่าไหร่ แต่พอได้ไปจริง ๆ แล้วต้องแนะนำไว้ตรงนี้เลยนะครับ สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ปวดขา หรือร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ต้องพิจารณาดี ๆ เพราะทางบางช่วงค่อนข้างชัน และเดินไกลอยู่พอสมควร หากไปหน้าร้อนบวกกับอากาศที่ร้อนด้วย อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ขนาดผมกับเพื่อนผมยังอายุไม่เยอะ ยังไปได้แค่ชั้น 5 เท่านั้นเอง แถมแวะพักกันตลอดทางเลยทีเดียว แนะนำให้ไปช่วงอากาศหนาว ๆ หรือช่วงเย็นหน่อยนะครับแต่ระหว่างทางก็จะมีร่มเงาของต้นไม้ให้ความร่มรื่นอยู่ตลอดเส้นทาง ไม่แน่หากคุณขึ้นไปเห็นวิวแล้ว อาจจะลืมเหนื่อยกันเลยก็ได้นะครับ สถานที่ต่อไปที่ผมจะแนะนำนั้น คือ "ภูสิงห์" ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่บนนั้นหลายที่ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็ต้องยกให้ "หินสามวาฬ" (Tree Rock Whale) ว่ากันว่ามีอายุกว่า 75 ล้านปี ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดมหึมาวางเรียงกัน 3 ก้อน มองไกลหรือมองจากภาพถ่ายทางอากาศ มีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ พ่อ แม่ ลูก กำลังว่ายน้ำกันอยู่สนุกสนาน จึงเรียกกันว่า "หินสามวาฬ" โดยเส้นทางมานั้นต้องขับรถมาจากตัวจังหวัดบึงกาฬประมาณ 24 กิโลเมตร ไปตามถนนเลียบแม่น้ำโขง (ถนนหลวงสาย 212) ทางจังหวัดนครพนม จะเจอทางเข้าภูสิงห์อยู่ทางขวามือ เลี้ยวรถขึ้นไป แล้วขับขึ้นไปประมาณ 6 กิโลเมตรก็จะเจอ โดยที่เราต้องจอดรถไว้ที่ทำการภูสิงห์ แล้วการจะขึ้นไปต้องขึ้นรถที่ทางเจ้าหน้าที่ของทางภูสิงห์จัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น โดยที่รถมีบริการตั้งแต่ตีห้าครึ่ง – ห้าโมงเย็น ค่าบริการ 500 บาท สามารถนั่งได้ 10 คน แต่ในกรณีที่เราไปแค่ 2-3 คน สามารถแชร์นั่งรวมไปกับคนอื่นที่มาเที่ยวได้นะครับ อย่างผมไปกับเพื่อน 2 คนก็ได้ไปแชร์กับนักท่องเที่ยวท่านอื่นเช่นกัน เส้นทางที่จะนำเราขึ้นไปยังหินสามวาฬนั้น ฝุ่นค่อนข้างเยอะมาก แนะนำให้ใส่หมวกหรือหาอะไรกันไว้นะครับ หากไม่อยากหัวแดงหล่ะก็ หรือไม่ก็ต้องขอเพื่อนนั่งหลบที่หน้ารถ แต่จะไม่ได้วิวบรรยากาศระหว่างทางนะครับ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงจุดที่จอดรถด้านบนภูสิงห์จากนั้นเราต้องเดินเท้าไปอีกประมาณ 200 เมตรครับ ถึงจะพบกับเจ้าวาฬยักษ์ ที่ตั้งตระหง่านรอเราอยู่ หากเราเดินตรงไปตามทางเรื่อย ๆ วาฬตัวแรกที่เราจะไปพบนั้นคือวาฬพ่อครับ ส่วนจะไปวาฬแม่ต้องเดินแยกไปอีกทางนะครับ จะอยู่ด้านขวามือ ซึ่งไปแล้วต้องไปครบทั้งสองตัวนะครับ เพราะวิวนั้นแตกต่างกัน ซึ่งในวาฬสามตัวนี้เราสามารถขึ้นไปได้แค่สองตัว คือวาฬพ่อกับวาฬแม่เท่านั้นนะครับ ส่วนวาฬลูกนั้นไม่สามารถขึ้นไปได้ บนนั้นเราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำโขง รวมถึงฝั่งของประเทศลาวได้นะครับ นอกจากหินสามวาฬแล้ว ระหว่างที่รถจะพาเราลงกลับไปด้านล่าง พี่คนขับรถเค้าก็จะพาเราแวะอีกหลายจุดครับ ซึ่งพี่เค้าก็บริการดีมาก ๆ ครับ อธิบายประวัติความเป็นมาของสถานที่นั้น ๆ รวมทั้งช่วยถ่ายรูปให้กับสมาชิกในรถทุกคนตลอดทั้งเส้นทาง ถือว่าประทับใจครับ ยังไงหากสถานการณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ อยากให้ทุกคนลองแวะไปสัมผัสเสน่ห์ของจังหวัดบึงกาฬกันดูนะครับ นี่แค่เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยว ในจังหวัดนี้เท่านั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่สวยงามอีกหลายสถานที่ด้วยกันครับ ภาพทั้งหมดโดย : ผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !