อื่นๆ

คนดีที่ผีรัก

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
คนดีที่ผีรัก

สายยูคล้องหน้าต่างไม่รู้หลุดหายไปไหน  จึงทำให้ทุกครั้งที่เปิดทิ้งเอาไว้และมีลมพัดกระโชกเข้ามา  หน้าต่างจึงกระแทกปิดเองดังปัง!

อ้อย...จึงปิดหน้าตายหน้าต่างบานนั้น 

หญิงสาววัยเบญจเพสหน้าตาพอไปวัดไปวาอย่างอ้อย  ใช้ชีวิตอย่างสาวโรงงานทั่วไปทำงานเป็นกะ เงินเดือนแทบไม่มีเหลือสำหรับใช้จ่ายตามใจตัวเอง  เพราะมีภาระความรับผิดชอบมากมายรออยู่ข้างหลัง

เงินเดือนของอ้อยแค่ 6 พันกว่าบาท รวมกับค่าสวัสดิการต่าง ๆ แล้วร่วมหมื่นกว่าบาท  แต่ว่าเหลือใช้จ่ายจริง ๆ แค่พันกว่าบาทเท่านั้น

อ้อยแชร์ค่าเช่าห้องกับเพื่อนสาวอีก 2 คน ห้องขนาด 6 คูณ 7 เมตร อาจจะดูคับแคบเกินไป  แต่ยังดีที่เวลากลับเข้ามาพักผ่อนนั้นไม่ตรงกัน ห้องเช่าแห่งนี้จึงไม่เคยว่างจากการใช้พักอาศัย ห้องเช่าเป็นแบบห้องแถวปูนสร้างใหม่  ด้านหลังเป็นห้องน้ำและระเบียงสำหรับตากผ้า  ซึ่งแต่ละห้องจะมีเป็นของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน

Advertisement

Advertisement

ห้องของอ้อยกับเพื่อน ๆ อยู่ริมสุด  จึงมีหน้าต่างให้ได้เปิดรับลมเย็น ๆ ห้องนอกนั้น  จำเป็นต้องเปิดประตูทิ้งเอาไว้  ถ้าหากต้องการลมเย็น แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครได้ทำอย่างนั้น  เพราะความปลอดภัยค่อนข้างสำคัญต่างจำเป็นต้องใช้พัดลมเพียงอย่างเดียว  ซึ่งมันไม่ได้ให้ความเย็นสักนิดเดียว

เพื่อนสาวของอ้อยเปลี่ยนหน้ามาแล้วชุดหนึ่ง  ที่ต้องมีเปลี่ยนหน้าด้วยเหตุผลเดียว  คือพอใครมีแฟนก็มักจะย้ายไปเช่าห้องอยู่รวมกับแฟนหนุ่ม  เรื่องแบบนี้เป็นไปตามยุคสมัย  ส่วนมากมักอยู่ก่อนแต่งงานบางคู่มีอันต้องเลิกรากลางคัน  โดยไม่ได้ผ่านพิธีกรรมตามประเพณีใด ๆ 

อ้อยเป็นคนเดียวที่ถือว่าเป็นหลักของห้อง  แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นที่ถูกครหานินทาในหมู่เพื่อนหญิงเหมือนกันว่า  อ้อยอาจมีความผิดปกติ  จึงไม่เคยเหลียวแลชายหนุ่มคนไหนเลย 

เรื่องแบบนี้ ใครจะรู้ดีเท่ากับเจ้าตัวเองล่ะ  อ้อยยังเป็นหญิงสาวเต็มร้อย  มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน  แต่เจ้าความรู้สึกรับผิดชอบค้ำคออยู่นี่เอง  จึงทำให้เธอไม่อยากหาภาระเพิ่มเติมมาให้ตัวเอง 

Advertisement

Advertisement

อ้อยไม่เคยเชื่อเลยว่า  ความรักจะนำมาซึ่งความสุขสดชื่นเพียงอย่างเดียวในความรักซุกซ่อนความทุกข์และหลากหลายปัญหาอยู่ในนั้น แม้ยังไม่เคยมีประสบการณ์ตรง  แต่สภาพแวดล้อมที่เธออยู่ก็สามารถบอกปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

ความสุขของคู่รักที่เธอเห็นนั้น  ช่างสั้นนักสิ่งที่อยู่กับคู่รักอย่างถาวร  ส่วนมากมักจะเป็นสารพัดความทุกข์

อ้อยเห็นเรื่องเหล่านี้จนชาชิน

หญิงสาวเคยคิดเล่น ๆ ว่า  บางทีอยู่คนเดียวยังจะมีความสุขเสียกว่า  ถนนสายชีวิตนอกเหนือจากสิ่งที่เรียกว่าความรัก  ยังมีอะไรหลายอย่างให้ค้นหา  แต่ก็นั่นแหละเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ลึก ๆ ของเธอยังโหยหาใครสักคนเหมือนเช่นผู้หญิงทั่วไป  ผิดกันก็เพียงเมื่อยังไม่มีใครเข้ามา จำต้องปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ขวนขวายแสวงหา

พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดเคยถามถึงเรื่องนี้เหมือนกัน  ดูเหมือนเป็นค่านิยมบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องนักอ้อยชินกับคำถาม  และรู้ดีว่าจะต้องตอบคำถามอย่างไร 

Advertisement

Advertisement

ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป...

การอาศัยอยู่ในสังคมของสาวโรงงานและเป็นอณูเล็ก ๆ ในสังคมเมืองหลวง  จึงมักรับรู้และสัมผัสกับเทศกาลต่าง ๆ วนเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดระยะ 

วันขึ้นปีใหม่ ตรุษจีน วันวาเลนไทน์ เข้าพรรษา ออกพรรษา ฯลฯ รวมทั้งคอนเสิร์ตและสถานบันเทิงต่าง ๆ

แต่ละเหตุการณ์และสถานการณ์ล้วนแล้วแต่ทำให้หัวใจของสาวโสดอย่างอ้อย  หวั่นไหวจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้  ทว่า...เธอก็สามารถควบคุมได้อยู่ดี  เพราะคิดอย่างสะระตะแล้วการออกไปเที่ยวข้างนอกมันหมายถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มีตามหลังมาเหมือนเงาตามตัว  และย่อมหมายถึงเธอมีอันต้องได้เบียดเบียนค่าใช้จ่ายจำเป็นของตัวเองในแต่ละเดือนให้เหลือน้อยลง

เพื่อนร่วมห้องเปลี่ยนไปอีกหลายครั้งพร้อม ๆ กับกาลเวลาที่เคลื่อนไปไม่มีหยุด  อ้อยยังอยู่เป็นหลักได้เหมือนเดิมพร้อม ๆ กับความมั่นคงทางด้านความรู้สึก หลากหลายเทศกาลและสถานการณ์ไม่อาจทำลายความหวั่นไหวภายในใจของเธอได้

วันหนึ่งแม่โทร.ตามให้กลับบ้านก่อนกำหนดเทศกาลสำคัญ  ซึ่งอ้อยจะต้องกลับเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว

อ้อยถาม  แม่ก็ไม่ยอมบอกเหมือนมีเลศนัยบางอย่างซ่อนอยู่  ได้แต่กำชับว่าไม่ว่าอย่างไรเธอต้องกลับบ้านให้ได้

ปกติอ้อยก็เหมือนกับคนต่างจังหวัดทั่วไป  ส่วนใหญ่ยังเชื่อฟังพ่อแม่อยู่แม้ไม่รู้สาเหตุเธอจำเป็นต้องลาหยุดงาน 3 วัน  เดินทางกลับต่างจังหวัด

แค่มาลงที่ท่ารถบขส. ประจำอำเภอ  อ้อยก็รู้สึกถึงความอบอุ่น เพราะผู้คนดูแตกต่างจากผู้คนในกรุงเทพฯ มาก  ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯก็คือคนต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่นั่นแหละเสียงพูดคุยด้วยภาษาพื้นถิ่นทำให้อ้อยยิ้มออก

มีคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาถามอ้อยเลือกไปกับตาลุงสูงวัยคนหนึ่ง  ระยะทางจาก บขส.อำเภอ ถึงหมู่บ้านของเธอร่วม 20 กิโลเมตรกับราคา 150 บาท ถือว่าค่อนข้างแพงแต่คงไม่มีทางเลือกอื่นเพราะแถวนี้ไม่มีรถโดยสารประจำทาง

สมัยถนนหนทางยังไม่ดีการเดินทางของคนในหมู่บ้านจะมีรถโดยสารถึง 3 คัน 3 คิว แต่เดี๋ยวนี้ทุกบ้านนิยมซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไว้ใช้งานเอง  การเดินทางด้วยรถยนต์โดยสารจึงยุติลง

ก้อยรู้สึกชื่นใจเมื่อเห็นสภาพของบ้าน  เธอไหว้พ่อกับแม่แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ

“นี่เป็นบ้านของเอ็ง” แม่ว่า “เงินทุกบาทที่เอ็งส่งมาให้  ข้ากับพ่อของเอ็งซื้อหินซื้อปูนมาทำกันสองตายายวันละเล็กวันน้อย”

มันเป็นบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัด  บนเนื้อที่กระจ้อยเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน  แต่ถึงพื้นที่แค่แมวดิ้นตาย  พ่อก็ลงต้นไม้เอาไว้จนเขียวครึ้ม  ฝรั่ง ชมพู่กำลังติดผล  มะนาวและมะม่วงกำลังผลัดใบ  พ่อว่าปีหน้าคงได้กินแล้ว

ครอบครัวของอ้อยไม่มีที่นาไว้ทำกิน  อ้อยตั้งใจว่าเก็บเงินให้ได้สักก้อนจะหาเช่านาให้พ่อทำสัก 3 ไร่  เพื่อให้มีข้าวเปลือกเก็บไว้กินเหมือนครอบครัวอื่น อนาคตถ้าเป็นไปได้เธออยากซื้อที่นาเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง

อ้อยหวังว่าจะต้องทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้   อ้อยมีพี่หลายคนพี่ ๆ เหล่านั้นแยกย้ายกันไปมีครอบครัวที่อื่น อาชีพหลักไม่ก่อสร้างก็เป็นลูกจ้าง  ไม่ค่อยมีใครมีเงินเหลือพอที่จะส่งมาจุนเจือพ่อกับแม่ 

สภาพความลำบากในอดีตทำให้อ้อยคิดเป็นและทำงานเก็บเงินอย่างระมัดระวัง  เพื่อไม่ให้ชีวิตต้องหวนกลับไปยากลำบากเหมือนเดิมส่วนความฝันเรื่องอื่น ๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น

“อ้อย...ข้าดูผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้ให้เอ็ง”

แม่เริ่มต้นพูดกับอ้อยขณะกินอาหารมื้อเย็น เป็นการเริ่มต้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอ้อยมองหน้าพ่อก่อนสบตากับแม่

“ข้าอยากให้เอ็งแต่งงาน” แม่พูดอีก “เอ็งอายุมากแล้ว”

“หนูยังไม่คิดเรื่องนี้เลยจ้ะแม่” อ้อยบอกตามตรง

“แต่ผู้ชายคนนี้เป็นคนดีนะ  ข้ามั่นใจ” แม่หนุนเต็มที่ อ้อยเห็นแววตาของบุพการีเป็นประกาย มันคือประกายแห่งความหวังแบบเดียวกับที่อ้อยเคยเป็น ในวันที่อารมณ์หวั่นไหวหรือว้าวุ่น “เขามีนาเกือบ 20 ไร่  วัวควายก็มี”

“ใครน่ะแม่?” หญิงสาวอดถามไม่ได้

“เสียอย่างเดียว” แม่ไม่ยอมให้อ้อยเป็นคนตั้งคำถาม  แต่เฉลยเสียเอง “เค้าอายุมากไปหน่อย”

แววตาของอ้อยเอาจริง  แม่รู้นิสัยจริงจังของลูกสาวดีจึงอ้อมแอ้มตอบ

“ตาเฟื้อย”

“ลุงเฟื้อยนะหรือแม่?”

“เออ...”

แม่ไม่สบตา  ขณะที่อ้อยมองเห็นภาพของชายสูงวัยคนหนึ่งครั้งหนึ่งครอบครัวของเธอเคยกู้เงินเสียดอกเบี้ยจากลุงเฟื้อย  แล้วต้องเสียดอกเป็นเวลายาวนานหลายปี ดอกทบต้น ต้นทบดอกอยู่นั่นแล้ว

ส่วนตัวแล้ว  นอกจากชิงชังความเค็มไม่เห็นแก่หน้าใครของลุงเฟื้อยแล้ว  ไม่มีเรื่องอื่นนับตั้งแต่ภรรยาของลุงเฟื้อยเสียชีวิตไปเมื่อร่วม 10 ปีก่อน  แกก็เข้าวัดเข้าวาไม่คิดว่ายังอยากจะมีเมียอีก  คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่แล้วมองลุงเฟื้อยด้วยสายตาชิงชังมากกว่าจะให้ความเคารพนับถือ 

อ้อยเองยังจำภาพที่ลุงเฟื้อยมาเก็บเงินดอกจากแม่ได้อย่างไม่มีวันลืม  ยังจำแววตาของลุงเฟื้อยได้ติดตาแม้เวลาจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม  เพียงแต่ยังไม่เข้าใจความหมายของสายตาคู่ดังกล่าว กระทั่งนาทีนี้

“ตาเฟื้อยสารภาพกับข้าว่า  เค้าแอบชอบเอ็งมานานแล้ว” แม่พูดต่อ  เหมือนรู้ความในใจของพ่อหม้ายสูงวัยผู้นั้นดีเหลือเกิน “ตั้งแต่เอ็งยังไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ”

อ้อยนิ่งอยู่นาน  ก่อนจะหลุดปากถาม “แล้วแม่ล่ะ?  แม่คิดยังไง?”

“ข้าก็เห็นว่า  อายุอานามเอ็งก็มากแล้ว  อีกอย่างตาเฟื้อย...เค้าใช้ได้นะ  จริงไหมพ่อ?” แม่หันไปทางพ่อเพื่อขอความเห็น

พ่อพยักหน้า  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หญิงสาวตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวช้า ๆ คล้ายกับเป็นการถ่วงเวลา  แต่จริง ๆ แล้วภายในหัวของเธอเวลานี้  ไม่มีเรื่องอะไร

ไม่มีภาพลุงเฟื้อยทั้งในแง่ดีหรือร้ายมันว่างเปล่าเหมือนกับกระดาษใบหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่สติสัมปชัญญะก็อยู่ครบถ้วน  ครั้นแล้วเธอก็หลุดปากออกมา

“แล้วแต่แม่เถอะจ้ะ”

“นังหนู!”

แม่อุทาน  หันไปยิ้มกับพ่อ  พ่อยิ้ม  รู้สึกโล่งใจไปด้วย

ชีวิตของอ้อยเหมือนกับฝันไปจริง ๆ  เพียงไม่กี่วันภายหลังการตัดสินใจ  เธอก็ละทิ้งห้องเช่าห้องนั้น  กลับมาแต่งงานกับชายแก่

นี่นะหรือคือการแต่งงาน? อ้อยถามตัวเอง  เพราะชีวิตแทบไม่ได้มีความตื่นเต้นใด ๆ คนที่ดีใจที่สุดเห็นจะได้แก่แม่ของเธอนั่นเอง  ส่วนพ่อเฉย ๆ  นิสัยปกติของพ่อเป็นแบบนั้นมาตั้งนมนานมาแล้ว 

ด้วยจำนวนสินสอดทองหมั้นค่อนข้างมาก จึงทำให้ครอบครัวของอ้อยตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า  เป็นการขายลูกสาวกิน  เมื่อแรกได้ยินเข้าหูนั้น  อ้อยถึงกับสะอึกจริงอยู่ครอบครัวเธออาจมีฐานะแตกต่างจากลุงเฟื้อยมากก็จริง ทว่าต่อให้ไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นครอบครัวของเธอก็จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุข

แม่เองที่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น  ก็เกิดอาการเป็นเดือดเป็นแค้นเหมือนกันเพียงแต่ไม่อาจสู้ลมปากนินทาของชาวบ้านได้

“เดี๋ยวก็เงียบเองแหละ” พ่อปลอบใจทุกคนสำหรับอ้อยการกลับมาอยู่บ้านนอกเพียงไม่กี่สัปดาห์ให้หลัง  เธอก็ปรับตัวได้และน้อมใจยอมรับกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว

คำพูดของคนไม่ช่างพูดอย่างพ่อดูจะศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย  เพราะถ้อยคำซุบซิบนินทาของชาวบ้านซาลงไปเอง

แม้ว่าชีวิตการแต่งงานของอ้อยจะจืดชืดไปสักหน่อยแต่ความที่หญิงสาวมีความอดทนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  จึงสามารถปรับตัวได้และรู้สึกว่าชีวิตการเป็นภรรยาของชายแก่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร อ้อยทำหน้าที่ของภรรยาครบถ้วนลุงเฟื้อยเองก็ดูจะให้ความรักใครเธอเป็นพิเศษจนถึงกับแอบไปจดทะเบียนกับเธอเพื่อให้เธอมีกรรมสิทธิ์ในมรดกของเธอ

ที่ต้องใช้คำว่า ‘แอบ’ เพราะลุงเฟื้อยยังมีลูก ๆ อีกหลายคน  แม้ว่าลูก ๆ เหล่านั้นจะได้รับการแบ่งสันปันส่วนทรัพย์สินไปคนละมาก ๆ  แต่ดูเหมือนว่าจะไม่พอ  ทุกคนยังพยายามเข้ามามีส่วนในทรัพย์สินที่ลุงเฟื้อยมีอยู่การเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวของอ้อยดูจะไม่เป็นที่ชอบใจนัก 

พอนานวันเข้าอ้อยจึงรู้ว่าต้นตอของเสียงนินทาต่าง ๆ นั้น  แท้จริงมาจากลูก ๆ ของลุงเฟื้อยนั่นเองอ้อยไม่ใช่ผู้หญิงไร้เดียงสา เธอแกร่ง เพราะได้เผชิญโลกมามากตามประสาคนทุกข์จึงไม่เคยกลัวเพียงแต่นึกขยะแขยงในพฤติกรรมของคน

ไม่ถึงหกเดือนดีด้วยซ้ำ  ตาเฟื้อยเองที่เห็นเป็นคนดีก็เริ่มออกลายทั้งความเค็มและความหึงหวง อ้อยเริ่มอึดอัดแต่พยายามอดทน 

ระหว่างนั้นเพื่อนร่วมห้องเช่าโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบบ่อยครั้ง  อ้อยเริ่มคิดถึงการทำงาน  คิดถึงชีวิตที่ต้องต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง  พอลุงเฟื้อยแสดงความงี่เง่าให้เธอเห็นอีกครั้ง  เธอก็เก็บของออกจากบ้านของลุงเฟื้อย

แม่ไม่ซักไซ้เพราะเข้าใจสภาพการณ์ของอ้อยดีส่วนพ่อน่ะไม่ต้องพูดถึง  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอเองเพียงชั่วข้ามคืนอ้อยก็ได้กลับมาอยู่ห้องเช่ามุมหนึ่งของเมืองหลวงอีกครั้ง  วันรุ่งขึ้นเธอก็ได้งานแม่บ้านในโรงงานใกล้ ๆ กับโรงงานเดิมทำ 

แม่โทร.มาบอกว่า  ตาเฟื้อยเอาแต่ดื่มเหล้าอ้อยบอกว่าไม่ถึงขั้นหนีจาก  แค่อยากอยู่ห่าง ๆ กันสักพัก  อะไร ๆ อาจจะดีขึ้นบ้าง

อ้อยทำงานอยู่หนึ่งอาทิตย์เต็ม  เย็นวันหนึ่งกลับมาถึงห้องเช่าก็พบว่ามีใครคนหนึ่งยืนรออยู่แถว ๆ หน้าห้องเช่า  อ้อยแปลกใจและลึก ๆ นั้นรู้สึกดีใจเหมือนกัน  ลุงเฟื้อย สามีสูงวัยมาตามง้อเธอถึงกรุงเทพฯ

หญิงสาวปั้นหน้าขึงแกล้งมองไปทางอื่น  เพื่อต้องการให้ลุงเฟื้อยเอ่ยทักเธอก่อนทว่า...จนถึงหน้าประตูห้อง ก็ไม่มีเสียงทัก และไม่เห็นร่างของลุงเฟื้อยจะว่าเธอตาฝาดหรือคงไม่ใช่  เธอเห็นชัดเจนว่าเป็นลุงเฟื้อยจริง ๆ เสื้อผ้าที่ลุงเฟื้อยสวมก็เป็นชุดโปรดของแก

ขณะประหลาดใจ มือถือส่งเสียงดังขึ้นอ้อยหยิบจากกระเป๋ากดรับ  ได้ยินเสียงแม่สะอื้นมาตามสาย

“นังหนู  เอ็งรีบกลับบ้านเถอะ  ตาเฟื้อย...ตาเฟื้อยผัวเอ็งตายแล้ว!”

อ้อยใจหายวาบ  ขนหัวลุกซู่ ภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่  เป็นลุงเฟื้อยจริง ๆ  ลุงเฟื้อยมาตามเธอกลับบ้านด้วยตัวเอง!

ภาพโดย Pete Linforth จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์