อื่นๆ

ชดใช้ด้วยชีวิต

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ชดใช้ด้วยชีวิต

ภาพโดย Maret Hosemann จาก Pixabay

เขียนโดย  อ.อเวจี


นี่คือเรื่องที่ฉันอยากจะเล่า...

จนป่านนี้  ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่า  เหตุใด  แม่ถึงได้รีบร้อนกลับมาจากต่างประเทศแล้วตรงเข้ามาสวมกอดฉันเอาไว้  เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกับอ้อมกอดอบอุ่นของแม่...  ตอนที่แม่ขยับออก  ฉันเห็นแม่น้ำตาคลอ  แต่รอยยิ้มของแม่  ก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น  แต่ก็ด้วยไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมแม่ถึงต้องทำกับฉันอย่างนี้  จนฉันเริ่มกังวลว่า  หรือว่ากำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตของครอบครัวเราอีกแล้ว...

ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย  เพราะความเปลี่ยนแปลง  มันหมายถึงความหม่นหมอง  เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในคราวแรกนั้น  ฉันแทบไม่เห็นรอยยิ้มของแม่  ฉันแทบไม่ได้อยู่คุยกับแม่ 

ฉันชื่อ ‘เดซี่’

ตั้งแต่จำความได้  ฉันเห็นแม่เป็นผู้หญิงเก่ง  แต่งตัวสวยสง่า  แม่ทำธุรกิจเป็นของตัวเอง  ต้องเดินทางบ่อยๆ  บางครั้งต้องไปต่างประเทศครั้งละหลายๆวัน  พ่อเป็นคนสนุกสนาน  ไม่สู้จะจริงจังกับเรื่องทำงานเหมือนแม่  พ่อดูเป็นคนไม่เอาไหน  เวลาที่พ่อไปสังสรรค์กับเพื่อนๆกลับมาถึงบ้าน  มักมีปากเสียงกับแม่  ฉันได้ยินแม่พูดว่า  พ่อเป็นคนเจ้าชู้  ไม่สนใจที่จะช่วยกันสร้างฐานะ  ฉันรู้สึกไม่ชอบสถานการณ์อย่างนั้นเลย  อีกอย่าง  ฉันรู้สึกกลัว  เมื่อเห็นแม่ถูกพ่อทำร้าย 

Advertisement

Advertisement

แต่พ่อก็รักฉันกับน้องมาก  พ่อไม่เคยตีฉันเลย  แม้กระทั่งในวันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันรุนแรง  หรือวันที่พ่ออารมณ์เสียมาจากข้างนอก  พ่อจะดึงฉันกับน้องเข้าไปกอด  พ่อจะเป็นช้าง  เป็นม้า และเป็นชิงช้าให้ฉันกับน้อง  ฉันกับน้องติดพ่อ  อยากให้พ่ออุ้ม  อยากให้พ่อพาออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน   แต่แล้ววันหนึ่งพ่อก็หายไปจากบ้าน   ฉันร้องไห้หาพ่อ  แต่แม่บอกว่าพ่อเป็นคนไม่ดี  แม่ไม่ยอมให้คนไม่ดีอย่างพ่อได้กลับมาอยู่กับพวกเราอีกแล้ว 

ไม่นานนัก  ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็เข้ามาอยู่กับเราในบ้าน  แม่บอกว่า  นี่คือพ่อคนใหม่ของฉัน  แล้วพ่อคนเก่าของฉันล่ะ  ฉันถาม  แม่บอกว่าอย่าไปสนใจเขาอีก  ฉันรู้ว่าแม่ไม่ได้พูดเล่น  แม่เป็นคนจริงจัง  คำไหนคำนั้น  ถ้าแม่บอกว่าพ่อเก่าเป็นคนไม่ดี  ก็ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ฉันเชื่อแม่  อีกอย่าง  พ่อคนใหม่ก็รักฉันกับน้องเหมือนที่พ่อคนเก่ารัก   พ่อใหม่กอดฉัน  อุ้มฉัน  พ่อใหม่เป็นคนเรียบร้อย  พูดเสียงเบาอ่อนโยน  ไม่เหมือนพ่อคนเก่าที่มักจะพูดเสียงดัง  หัวเราะเสียงดัง 

Advertisement

Advertisement

ตอนที่พ่อเก่าหายไปจากบ้านและมีพ่อคนใหม่  แม่พาพวกเราย้ายออกจากบ้านเก่าไปอยู่ที่บ้านของยายก่อน  แต่ไม่นานนัก  แม่ก็ซื้อบ้านหลังใหม่  พาฉันไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่  ส่วนน้องชายของฉันให้อยู่กับยาย รอให้เรียนจบชั้น ป.6  ก่อนค่อยย้ายตามเข้าไป  ที่บ้านหลังใหม่จึงมีเพียงฉัน  แม่  และพ่อใหม่ของฉัน

ที่นี่ฉันเหงาบ้าง  แต่ฉันไม่ขาดอะไรเลย  พ่อใหม่ก็เป็นคนดี  ไม่เคยมีปากมีเสียงกับแม่เลย  เขายังเป็นคนช่วยแม่ทำธุรกิจได้อย่างดี

ฉันเข้าม.1 แล้ว  มีแต่คนชมว่าฉันเป็นเด็กหน้าตาดี  เรียบร้อย  ธุรกิจของแม่ค่อนข้างไปได้ดี  แม่จึงเดินทางบ่อยขึ้น  แม่เป็นคนทันสมัย  นอกจากต้องการให้ฉันเรียนหนังสือให้เก่งแล้ว   แม่ยังต้องการให้ฉันเรียนรู้กับโลกมากขึ้น  ด้วยการซื้อหนังสือเกี่ยวกับภัยของลูกผู้หญิงให้ฉันอ่าน  ที่โรงเรียนครูก็สอนเรื่องภัยของผู้หญิง 

Advertisement

Advertisement

ฉันมีความลับบางอย่างที่ไม่เคยบอกใครเลยอยู่เรื่องหนึ่ง  เกี่ยวกับพ่อใหม่หรือพ่อเลี้ยงของฉัน   ความรู้ใหม่ที่ฉันได้รับรู้  ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดีกับพ่อเลี้ยง  ฉันกลัวเขา  ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย  ความลับที่ว่านั้นก็คือ  พ่อเลี้ยงมักกอด  หอมแก้ม  และลูบคลำหน้าอกของฉัน  ตั้งแต่ฉันยังเด็กๆ   การกอดของเขาไม่เหมือนพ่อเก่า  การหอมแก้มของเขาก็ไม่เหมือนพ่อเก่า

เมื่อฉันได้รู้เกี่ยวกับข้อมูลภัยของผู้หญิง  จึงรวบรวมความกล้าเล่าให้แม่ฟัง  แม่มองฉันด้วยสายตาชนิดหนึ่ง  ฉันไม่แน่ใจว่าแม่เชื่อฉันหรือไม่  และเมื่อแม่เรียกพ่อเลี้ยงเข้ามาถาม  พ่อเลี้ยงปฏิเสธว่าไม่เคยทำ แถมยังพูดตัดพ่อว่า  เสียแรงที่เขาอุตส่าห์รักฉันเหมือนลูกในไส้ 

ฉันไม่กล้าสู้สายตาของพ่อเลี้ยง  และไม่กล้าสบตากับแม่  เพราะถ้าเกิดแม่ไม่เชื่อขึ้นมาจริงๆ  ฉันจะกลายเป็นเด็กไม่ดีไป  เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา  พ่อเลี้ยงไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่ขัดใจของแม่เลย  อีกอย่างแม่กับพ่อเลี้ยงยังมีน้องชายให้ฉันอีกคนหนึ่ง  ไม่มีทางที่เขาจะทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นแน่

ฉันไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ  แม่ของฉันทำงานหนักมาก  บางครั้งปวดหัวเพราะไมเกรน  แม่บอกว่าที่แม่ขยันขันแข็งทำงานก็เพื่อฉันกับน้องๆจะได้สบาย  ฉันไม่ควรหาเรื่องทำให้แม่ต้องมาเครียดอีก 

วันหนึ่งแม่บอกว่าจะต้องไปมาเลเซียอีก 10 วัน  ในระหว่างที่แม่ไม่อยู่  แม่จะให้น้ามาอยู่เป็นเพื่อน  แต่แล้วคืนนั้นน้าไม่ว่าง  ฉันจึงต้องอยู่บ้านกับพ่อเลี้ยง  ฉันล็อกห้องอย่างแน่นหนาตามคำแนะนำที่รับรู้มาจากหนังสือ  ฉันนอนหลับ  แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อเห็นพ่อเลี้ยงมานอนอยู่บนเตียงด้วย  พ่อเลี้ยงเข้ามากอด  จูบ  ฉันรู้สึกเจ็บจนน้ำตาไหล  แม่โทร.หา  ฉันบอกแม่เพียงว่า  เมื่อคืนน้าไม่ได้มา  แต่พ่อเลี้ยงได้เข้ามาในห้องนอนของฉัน 

ภายหลังแม่กลับจากต่างประเทศ และเรียกพ่อเลี้ยงมาถามว่า  ทำไมถึงเข้าไปในห้องของฉัน  พ่อเลี้ยงบอกว่า  เป็นห่วง  เห็นไม่ได้ปิดหน้าต่าง   

ฉันตกใจเมื่อเห็นท่าทีของแม่กับพ่อเลี้ยง  เพราะฉันไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว  แม้ว่าฉันจะไม่ชอบพ่อเลี้ยงก็ตาม 

พ่อเลี้ยงพูดกับแม่ว่า  ถ้าเขาอยู่ด้วยแล้วไม่สบายใจ  เขาจะเป็นฝ่ายไปเอง    คำพูดของพ่อเลี้ยงทำให้แม่ลังเล  นางอาจคิดมากเกินไป  แต่เมื่อมองฉัน  สายตาของแม่ที่เคยเด็ดเดี่ยว  ก็เปลี่ยนเป็นระแวงเป็นห่วง  ฉันพยายามเป็นเด็กดี  ไม่อยากให้แม่กับพ่อเลี้ยงมีปัญหา  แต่ทำไมฉันถึงยิ้มไม่ได้อย่างเต็มที่  หัวเราะไม่ได้เต็มเสียง  ดอกไม้ที่ฉันเคยเห็นว่างดงามยังดูหงอยๆ  เศร้าๆ   ฉันเป็นอะไรไป 

ไม่นานต่อมา  แม่ต้องไปเชียงใหม่อีก 10 วัน  คืนหนึ่งระหว่างที่ฉันนอนหลับอยู่  ก็ต้องสะดุ้งตื่นแล้วพบว่าฉันไม่มีเสื้อผ้าติดตัว  และพ่อเลี้ยงก็ทำกับฉันเหมือนอย่างคราวก่อน 

ฉันไม่ชอบสิ่งที่พ่อเลี้ยงทำเลย  แต่ฉันก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้แม่รู้เหมือนกัน  นอกจากจะทำให้แม่ปวดหัวแล้ว  พ่อเลี้ยงอาจจะทำร้ายฉันกับแม่ก็ได้   ฉันทำได้แค่ล็อกกลอนแน่นหนาทุกครั้ง  หลังจากคืนนั้น พ่อเลี้ยงนำยาเม็ดเล็กๆมาให้ฉันกิน  บอกว่าเป็นยาที่กินแล้วไม่ท้อง

ฉันตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับต่อไป  ถ้าหากไม่ถูกน้าคาดคั้น  เพราะน้าเคยมาหาฉันหลายครั้งแล้วพบว่าฉันล็อกประตูห้องทุกครั้ง  แม้ในช่วงเวลากลางวัน  ฉันขอร้องน้าไม่ให้เปิดเผยความลับ  แล้วจึงเล่าให้น้าฟังว่าได้เกิดอะไรขึ้น 

และแล้ว แม่จะต้องไปงานแสดงสินค้าที่พนมเปญอีก  ฉันรู้สึกกังวล  แต่น้าได้เข้ามาดูแลฉันอย่างใกล้ชิดก็โล่งใจบ้าง

แม่ไปพนมเปญเพียงแค่วันเดียวก็กลับมา  จนฉันรู้สึกแปลกใจ  ตอนที่แม่เข้ามากอดฉัน  ฉันรู้สึกเหมือนโลกอันงดงามของฉันที่เคยเศร้าๆไปบ้างกำลังจะกลับมาเป็นของฉันอีกครั้ง  ฉันรับรู้ถึงสัมผัสที่จริงใจของแม่  ความวิตกกังวลก็หายไป  เมื่อแม่ถาม  ฉันก็จะบอกความจริงว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน  เมื่อแม่เชื่อฉัน  เมื่อแม่ไม่ได้ตำหนิฉัน  ฉันก็จะพูดความจริง... 

ภาพโดย Maret Hosemann จาก Pixabay

แต่นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง...

หญิงวัยกลางคน  แต่งตัวด้วยชุดดำ  สีหน้าหม่นหมองเป็นทุกข์  กำลังนั่งนิ่งๆอยู่หน้ารูปภาพของลูกสาว  ยิ่งคิดยิ่งเป็นทุกข์  ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนเองผิดมหันต์  เพราะกว่า...นางจะรู้ความจริง  ก็สายเกินไป  ในระหว่างที่นางกำลังเดินทางตะลอนๆไปทั่วประเทศ  เดินสายไปต่างประเทศ  ได้เกิดเหตุการณ์อันน่ารันทดกับลูกสาวของตัวเอง

เหตุการณ์ทั้งหมดมันเป็นชะตากรรมหรือเปล่า  จนวินาทีนี้   นางไม่อยากเรียกว่าเป็นชะตากรรม  มันเป็นความเห็นแก่ตัวของนางเองต่างหาก  ถ้าหากนางไม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่กับผู้ชายในคราบสัตว์นรก  ลูกสาวของนางคงไม่ต้องมารับเคราะห์กรรม

“กลับบ้านเถอะลูก” 

หญิงชราในชุดดำอีกคน  เดินมาทรุดร่างนั่งลงใกล้กับหญิงวัยกลางคน

“แม่...”

สุดจะฝืนกลั้น  หญิงวัยกลางคน  สวมกอดหญิงชรา  ปล่อยให้เขื่อนน้ำตาพังทลาย 

“หนูเดซี่ไปสวรรค์แล้ว  อย่าให้หนูเดซี่เป็นห่วงสิ”

“จ้ะ  ได้จ้ะแม่”

หญิงวัยกลางคนกับหญิงชราขยับลุก  และก้าวออกมาจากห้องนั้นในที่สุด

///////////////////////////

ภาพโดย Ichigo121212 จาก Pixabay

“ปล่อยผม  คุณมีสิทธิ์อะไรมาจับผม”

ชายวัยกลางคน  ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ  เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ารวบตัวกลางดึกขณะกำลังนอนหลับบนเตียง

หญิงวัยกลางคนผู้นำพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่ปรากฏตัวขึ้น  ชายวัยกลางคนเหลียวขวับ 

“คุณช่วยผมด้วยสิ”

“ขอโทษด้วยนะ  ฉันอยากให้หนูเดซี่หมดห่วง”

“โธ่เว้ย!  บ้ากันไปใหญ่แล้ว  บอกกี่ร้อยครั้งแล้วว่าผมไม่ได้ฆ่าเดซี่”

“เอาตัวไปได้แล้วค่ะคุณตำรวจ” 

หญิงวัยกลางคนบอก

“เชิญครับ  คุณยังมีสิทธิ์ให้การในชั้นศาลนะครับ”

เสียงของตำรวจพูด

“มันแน่นอนอยู่แล้ว  ผมไม่ผิด ผมไม่ได้ฆ่าใครอย่างที่ถูกกล่าวหา”

เสียงเอะอะโวยวายของชายวัยกลางคนผู้ตกเป็นผู้ต้องหา 

หญิงวัยกลางคนมองตามหลังอดีตสามีด้วยสายตาอันว่างเปล่า  นางแค่อยากให้เขาได้รับโทษทัณฑ์ตามกระบวนการยุติธรรม  ส่วนเวรกรรมที่เขาได้ก่อขึ้นนั้น   สำหรับนางแล้วอยากจะอโหสิให้กับเขาทั้งหมด  เพื่อที่ดวงวิญญาณของเดซี่จะได้ไปสู่สุคติ

////////////////////////

ภาพโดย StockSnap จาก Pixabay

หลายปีต่อมา...

เขาเป็นอิสระในวัยเกือบ 60 ปี  เป็นอันว่าถูกจองจำสิ้นอิสรภาพอยู่ในคุกถึง 10 กว่าปี  มันคือช่วงเวลาแห่งการสำนึกผิด  แต่ก็นั่นแหละ   สันดานของเขายังไม่เปลี่ยนเลย  แม้ได้ชื่อว่าอยู่ในวัยชราเช่นนี้  แต่ความต้องการในเรื่องทางเพศยังคุกรุ่น  

เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้านอกคุกช่างสดใสเหลือเกิน  มันงดงาม  ทั้งๆที่เป็นฟ้าผืนเดียวกัน  เขาสูดอากาศนอกคุกอัดเข้าเต็มปอดแล้วสาวเท้าก้าวไปอย่างช้าๆ   ในหัวเริ่มครุ่นคิดว่าเขาควรจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่นอกคุกที่ไหน 

ตอนถูกจองจำ  เคยมีญาติๆมาเยี่ยมบ้าง  แต่เมื่อนานวันเข้า  ไม่มีใครเลย  ซึ่งเขาก็เข้าใจ  และนักโทษส่วนใหญ่ก็มีสภาพไม่ต่างจากเขานัก    เขาตัดสินใจเรียนอาชีพหลายอย่างเพื่อไม่ให้ชีวิตถูกคุกคามด้วยความเหงา  ความว้าเหว่ 

เขาไม่ได้ออกจากคุกมือเปล่า   มีวิชาชีพ  มีเงินส่วนหนึ่ง  ขาดเพียงยังไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตอย่างไรเท่านั้น  โลกภายนอกคุกเปลี่ยนแปลงไปมากจนยากที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว    ทว่า...ในเมื่อยังมีลมหายใจ ก็ต้องอยู่ต่อ 

เขามีญาติเหลืออยู่เพียงคนเดียว  จึงตัดสินใจไปหาญาติ  ตั้งใจว่าจะพักค้างแรมด้วยสักคืนสองคืน  เพื่อหาลู่ทางทำงาน   ซึ่งมีอยู่อย่างเดียว  คือต้องทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง

ญาติของเขาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่  มีผู้หญิง 4  คน  คือเป็นลูกๆ อายุไล่เลี่ยกัน  คนโตอายุ 20 กว่า  ทำงานโรงงาน  ที่เหลือลดหย่อนลงมาปีต่อปี

 สายตาของเด็กๆมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ 

ญาติของเขาก็ไม่สู้เต็มใจนักที่จะให้เขาพักอยู่ด้วย  แต่จำเป็น  เขาจึงบอกกับญาติว่าขอพักแค่คืนเดียวเท่านั้น  พรุ่งนี้จะเดินทางไปหาเพื่อน 

คืนนั้น  ญาติกางมุ้งให้เขานอนอยู่นอกห้องเพียงลำพัง     อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียทำให้เขาสามารถหลับตาลงได้ค่อนข้างรวดเร็ว  แต่มีอันต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก  เมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนมุดเข้ามาในมุ้ง

เขาตกใจ  ขยับลุกขึ้น  หรี่ตามอง  แล้วมีอันต้องสะท้านเฮือก  เพราะคนที่นั่งอยู่ปลายเท้านั้นรูปร่างหน้าตาช่างเหมือนกับ...เดซี่ยิ่งนัก  เขาขยี้ตาหลายครั้ง  ก็ยังเห็นเหมือนเดิม  เดซี่ตายไปแล้วนี่ ตายไปหลายปีแล้วด้วย

เด็กสาวผู้มีใบหน้าละม้ายกับเดซี่ยิ้มให้กับเขา  รอยยิ้มนั้นราวกับสามารถสะกดเขาให้งงงัน 

“พ่อคะ หนูคิดถึงพ่อเหลือเกินค่ะ”

น้ำเสียงของเด็กสาว ใสกังวานอย่างประหลาด

“ดะ...เดซี่หรือ?”  เขาหลุดปากถาม  เสียงตะกุกตะกัก

เด็กสาวไม่ตอบ  ขยับเข้าใกล้  เขาเพิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกระตุกเต้นอย่างประหวั่นพรั่นพรึง  เหงื่อผุดพราวเต็มใบหน้า

“อย่านะ...”

“เรามามีความสุขด้วยกันอีกสิคะพ่อ”

เสียงเย็นยะเยือกของเด็กสาวผู้มีใบหน้าคล้ายเดซี่  เขาเปิดมุ้งขยับจะลุกขึ้น  ก็ถูกมือของเด็กสาวดึงเอาไว้  สัมผัสนั้นทำให้รู้ว่า  เย็นเฉียบราวกับเป็นมือของผู้ไร้ชีวิต

“อย่า...” 

เขาร้อง  แล้วกระชากจนหลุด  ก่อนจะทะลึ่งร่างลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีออกจากบ้าน 

“ช่วยด้วย!”

“กลับมาก่อนสิคะพ่อ  กลับมาก่อน  กลับมามีความสุขด้วยกัน”

“อย่าตามมา  อย่า  กลัวแล้ว!”

เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต  ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย   จู่ๆร่างของเขาก็สะดุดวูบเสียหลักล้มลง  แต่ไม่ได้ล้มลงบนพื้นธรรมดา  ร่างของเขากำลังร่วงหล่นจากอาคารชั้น 6  ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง  สำนึกสุดท้ายของเขาสามารถรับรู้ได้ว่าร่างของตนเองถูกเหล็กก่อสร้าง 6 หุน 4  เส้นเสียบทะลุออกกลางหลัง

สวบ  บ บ!

เจ็บปวดที่สุด  เจ็บปวดจนไม่มีเสียงร้อง  แต่หูยังแว่วได้ยินเสียงของเด็กสาว

“พ่อ  เราไปมีความสุขด้วยกันในนรกนะคะ”

ในที่สุดดวงชีวิตก็หลุดวูบ...

////////////////////////

ร้อยเวรฯตามมาดูที่มุ้งนอกชานบ้านไม้เก่าๆหลังนั้น 

“เมื่อคืนเขาพักอยู่ที่นี่ครับ”  เจ้าของบ้านให้การ “เมื่อคืนไม่รู้เกิดอะไรขึ้น  เขาหนีหายไป  มารู้อีกทีก็ตอนที่มีคนบอกว่าพบศพที่ไซด์งานก่อสร้าง”

“เขาเป็นอะไรกับคุณ?” ร้อยเวรฯถาม

“ญาติครับ  ญาติห่างๆ  เขาเพิ่งออกจากคุกมาด้วยครับ”

..........

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์