อื่นๆ
ต้นฉบับผี

บรรณาธิการนิตยสารผีที่ขายดีที่สุดของประเทศพลิกแฟ้มต้นฉบับของนักเขียนทั้งใหม่และเก่าที่เขียนส่งเข้ามาให้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเนื้อหาของเรื่องผีส่วนใหญ่ ไม่ได้แตกต่างกันนัก และส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ทั้งโดยตรง ผ่านการเล่าปากต่อปาก หรือแม้แต่แต่งขึ้นเอง ซึ่งกลวิธีการเล่านั้น ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้สลับซับซ้อนอันใด ทว่าเรื่องผีก็ถือว่ามีเสน่ห์ในตัวเองไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแฟนหนังสือที่เป็นกลุ่มเฉพาะ และดูเหมือนจะเป็นกลุ่มค่อนข้างใหญ่ด้วย
มีบางครั้ง ภานิตย์ไม่อยากอ่านต้นฉบับเอาดื้อๆ เพราะรู้สึก ‘อิ่ม’ กับแนวเนื้อหาของเรื่องเต็มที แต่ก็นั่นแหละ จำเป็นต้องทำด้วยภาระหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อได้คิดและคิดได้ว่าเป็นหน้าที่ ความกดดันที่มีอยู่ก็เลือนหายไปทุกครั้ง แล้วภานิตย์ก็จะเริ่มทำงานต่อไปได้
Advertisement
Advertisement
ตัวภานิตย์เองไม่เคยเจอผีแม้แต่ครั้งเดียว หากเขาก็เชื่อว่าผีมีจริง และวิเคราะห์ว่าวงโคจรการเกิดของผีแต่ละราย มีเค้าเดียวกัน นั่นคือ ผีแต่ละตัวหลอกหลอนเพราะยังมีอะไรบางอย่างยังไม่ได้ทำ หรือเป็นกังวล ถ้าก่อนตาย เพียบพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ดวงวิญญาณก็จะไปเกิดใหม่ทันที ไม่ต้องกลายเป็นผีระเหเร่ร่อน
“บก.คะ” เสียงจากอินเตอร์คอม เลขาสาวไม่สวยหนึ่งเดียวของบริษัท
ภานิตย์เอื้อมมือไปกดพูด “มีอะไรครับ น้องหนิง?”
“มีผู้ชายคนหนึ่งมาขอเข้าพบบก.ค่ะ”
“ใครกัน?”
“นักเขียนค่ะ”
“นักเขียน” ภานิตย์ขมวดคิ้ว เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีนักเขียนคนไหนมาส่งต้นฉบับด้วยตัวเอง และเขาก็ไม่เคยนัดพบใครด้วย
เห็นเขานิ่งอึ้งไป เลขาสาวก็ถามกลับมา
“จะให้เข้าพบหรือเปล่าคะ?”
“อืมม์ งั้นบอกให้เขารอสักครู่นะ ผมจะออกไปพบเอง”
“ค่ะ บก.”
ภานิตย์มองดูต้นฉบับที่กำลังอ่านค้างอยู่ คิดจะอ่านต่อ อย่างน้อยที่สุด ถึงไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่การถ่วงเวลาคนที่มาขอเข้าพบโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้านั้น เป็นวิธีการแสดงถึงความสำคัญของตัวเองอย่างหนึ่ง
Advertisement
Advertisement
ทว่า...บรรณาธิการหนุ่มไม่มีสมาธิสำหรับการอ่านต้นฉบับ
อีกอย่าง ภานิตย์ไม่ใช่คนที่มีฟอร์มมากมายอะไร เขาติดจะเป็นคนง่ายๆสบายๆเกินไปด้วยซ้ำ แม้ตัวเองจะมีตำแหน่งเป็นถึงบรรณาธิการก็เถอะ
เขาปิดแฟ้ม เลื่อนเก้าอี้ขยับลุกขึ้น ก้าวออกจากห้อง
สำนักงานเล็กๆแห่งนี้ มีคนทำงานเพียงไม่กี่คน เพียงกวาดตาไปยังมุมรับรองเล็กๆ ก็เห็นใครคนหนึ่งนั่งรออยู่ ที่น่าประหลาด แค่เห็นไม่ชัดเจน แต่ภานิตย์กลับรู้สึกเหมือนคุ้นๆกับคนผู้นี้ หรือว่าอาจเป็นเพื่อนเก่าของเขาบางคน
ภานิตย์รีบก้าวเข้าไป เขากระแอมเพื่อส่งสัญญาณเตือน ผู้มานั่งรอ นั่งตัวตรง ไม่ยอมขยับเขยื้อนตัว
“สวัสดีครับ”
ภานิตย์เอ่ยทักขึ้นก่อน พร้อมขยับก้าวเข้าไปนั่ง
ผู้มาขอพบเป็นชายหนุ่ม คงจะรุ่นน้องภานิตย์ ทว่ามีอะไรหลายอย่างในตัวคนผู้นี้ทำให้ภานิตย์ทั้งฉงนและไม่พอใจ แม้พยายามไม่แสดงออกมา แต่ถ้าเป็นคนธรรมดา ย่อมอ่านจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของภานิตย์ได้
Advertisement
Advertisement
คนเป็นแขกสบตากับบรรณาธิการหนุ่ม ดวงตาคู่นั้นมีประกายชนิดหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ว่ากันตามความรู้สึกจริงๆ ภานิตย์ขนลุกซู่ด้วยซ้ำไป
“คุณเป็นบรรณาธิการใช่มั้ยครับ?”
มันควรจะเป็นคำทักทายตอบกลับภานิตย์มากกว่า ไม่เพียงไม่ทัก แต่ยังย้อนถามแบบนี้ นับว่านิสัยแย่มาก
“ใช่” ภานิตย์ตอบห้วนๆ รอยยิ้มที่มีเมื่อครู่ เลือนหายไปจากใบหน้าเกือบจะทันที ทว่าแขกหนุ่มผู้ไม่เคยรู้จักมาก่อนกลับยิ้มเยือกเย็นแทน สายตาที่มองสบกับเขาก็คล้ายกับมีแววถือดีอยู่ในตัว คล้ายกับไม่ได้นำพาต่อความรู้สึกของภานิตย์สักนิดเดียว
“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?” บรรณาธิการหนุ่มใหญ่ย้อนถาม “งานผมกำลังยุ่ง”
“ผมเป็นนักเขียน”
ภานิตย์นึกอยากหัวเราะใส่หน้าชายหนุ่มคนนี้ มีอย่างที่ไหน เป็นนักเขียนดันจะทำตัวใหญ่กว่าบรรณาธิการ นักเขียนจะต้องง้อบรรณาธิการซี่ บรรณาธิการไม่เปิดโอกาสให้เกิด ก็อย่าหวังว่าจะได้เกิด
ใจคิดเช่นนั้น แต่ปากจำเป็นต้องพูดตามมารยาท
“ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้?”
“ผมมีเรื่องมานำเสนอ”
“เราเปิดรับต้นฉบับตามที่อยู่ที่ให้ไว้นะครับ”
ภานิตย์อธิบาย จริงๆเป็นการต่อว่าอย่างสุภาพนั่นเอง
“แต่ผมอยากมาเสนอกับบรรณาธิการด้วยตัวเอง”
“อืมม” ภานิตย์เห็นแววตาอันเจิดจ้าของชายหนุ่มคู่สนทนา “งั้นก็ได้ครับ ไหนล่ะครับต้นฉบับ?”
“ผมยังไม่ได้เขียน”
“อ้าว?” ภานิตย์หลุดปาก
“ผมมีเรื่องมานำเสนอจริงๆ แต่ว่าผมจะไม่เขียนด้วยตัวเอง”
“ว่าไงนะ” ภานิตย์ชักจะเหลืออดกับท่าทียียวนกวนประสาทของอีกฝ่าย ทั้งที่ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขนาดจะมาพูดจาล้อเลียนกันได้
หนิง เลขากองบรรณาธิการเหลือบมองมาอย่างกังวล เธอเองก็ไม่แน่ใจว่า ชายคนที่มาขอพบบรรณาธิการนั้น เป็นคนประเภทไหนกันแน่
เพราะสีหน้าและท่าทางของเขาดูเหมือนคนประสาทกลับตั้งแต่แรกเจอ แต่ดวงตาทั้งคู่ของเขาดูกระด้างชอบกล
กระด้างจนเธออดขนลุกไม่ได้
ด้านของภานิตย์ แม้ไม่พอใจ และกล้าที่จะสบตากับอีกฝ่าย ทว่าจริงๆแล้วเขาก็รู้สึกไม่ต่างจากที่หนิงรู้สึก
“ผมมีเรื่องมานำเสนอ” ชายหนุ่มผู้ถือดีเอ่ยเสียงขึงขังด้วยคำพูดประโยคเดิม
ภานิตย์ยิ้มอย่างฝืดฝืนที่สุด ด้วยพยายามข่มความรู้สึกขุ่นมัว
“แล้วไงครับ?”
“ผมว่าบก.จะต้องชอบเรื่องที่ผมนำเสนอแน่นอน” เขาคนนั้นพูด
“ชอบหรือครับ?” ภานิตย์ย้อนถาม “ตกลงคุณจะให้ผมเขียนให้คุณเหรอ?”
“ใช่ครับ”
“ว่าไงนะ”
เสียงของภานิตย์ดังจนเลขาประจำกองต้องหันมามองอย่างไม่สู้สบายใจ
“หึหึหึ” แขกผู้ไม่ได้รับเชิญหัวเราะ ดวงตาคู่นั้นดูวิบวาว “ผมว่าคุณบก.จะต้องชอบเรื่องที่ผมจะนำเสนอ”
“นี่คุณ” ภานิตย์บอกตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องอดทนกับพฤติกรรมของคนคนนี้อีกต่อไป “ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ อีกอย่าง ผมไม่มีเวลามานั่งฟังคุณโม้หรอก”
“บก.” เสียงนั้นเน้นหนัก และมีอำนาจบางอย่างกระตุกให้ภานิตย์ไม่อาจบังคับร่างให้ผุดลุกขึ้นอย่างใจปรารถนา “เรื่องผีของผมน่ากลัว เพราะแต่ละเรื่องมีความเป็นมา ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าธรรมดาๆ”
“ต่อให้เป็นเรื่องเล่าที่ไม่ธรรมดา แต่คุณเล่นมาให้ผมเขียนให้คุณ ผมก็ไม่มีทางสนใจหรอก” ภานิตย์พูดลั่น คราวนี้ขยับร่างลุกขึ้น “ผมขอตัวนะ”
“บก.” เสียงของชายหนุ่มพิลิก
ภานิตย์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกนิดหนึ่ง โสตประสาทจึงได้ยินเสียงของเขาคนนั้นอย่างชัดเจน
“ต่อให้บก.ไม่สนใจเรื่องที่ผมจะนำเสนอ แต่ว่า...ผมจะหาวิธีการเสนอให้บก.นำลงหนังสือให้ได้”
ภานิตย์ไม่สนใจ ก้าวกลับเข้าไปในห้อง ไม่ทันจะได้ทิ้งร่างนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงด้านนอกทำให้เขาต้องทะลึ่งพรวดพราดออกมา
“กรี๊ดดดดด!”
“หนิง!”
ตอนที่ภานิตย์เปิดประตูออกมา เห็นเลขาฯสาวยืนตัวสั่นงันงก หน้าซีดเผือด เขาผวาเข้าประคอง เมื่อเห็นเธอทำท่าจะทรุดกองอยู่ตรงนั้น
“ผะๆๆ” หนิงหลุดปากออกมา “ผี!”
“ผีที่ไหนหนิง?”
“ขะๆๆเขาคนนั้น”
หญิงสาวชี้ไปที่มุมรับรอง ซึ่งมีร่างของแขกหนุ่มผู้อ้างตนว่าเป็นนักเขียนนั่งอยู่ ภานิตย์มองตาม ไม่เห็นแม้แต่เงา
“เขาไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
ภานิตย์ถาม เลขาฯสาวกอดแขนเขาเอาไว้แน่น ท่าทางคงจะตื่นตระหนกจริงๆ
“ค่ะ ใช่ค่ะ แต่ว่า...”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ภานิตย์ปลอบ “ก็แค่คนบ๊องๆคนหนึ่ง ไปแล้วคงไม่กล้าย้อนกลับมาวุ่นวายกับเราอีก ถ้ามาผมจะโทร.แจ้งตำรวจทันที”
“บก.คะ เค้า...เค้าไม่ใช่คน”
“หา!”
“จู่ๆเค้าก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา” หญิงสาวเล่าลิ้นรัว “น่ากลัวเหลือเกินค่ะ”
“หนิงตาฝาดหรือเปล่า?”
“ไม่ฝาดหรอกครับ”
แน่นอนว่า เสียงทุ้มหูกวนอารมณ์ดังกล่าวไม่ได้ออกมาจากปากของเลขาฯสาว เพราะเป็นเสียงของผู้ชาย และผู้ชายที่มีอยู่ก็คือภานิตย์
แต่ภานิตย์ไม่ได้พูดประโยคนั้น
“ใคร? ใครพูด?”
บรรณาธิการเรื่องผีร้องถาม กลอกตาไปมา แน่ล่ะ ความรู้สึกขณะนั้นคงหวั่นไหวไม่ต่างจากเลขากองบก.ที่เริ่มจะออกอาการตัวสั่นงันงกขึ้นมาอีกครั้ง
เงียบ...
ความเงียบในห้วงขณะนั้น แม้กินเวลาเพียงเสี้ยววินาที ทว่า...มันช่างเงียบงันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน สรรพสิ่งมีชีวิตกระทั่งจังหวะการเต้นของหัวใจยังสะดุดหยุดลง
โลมาทุกขุมขนลุกซู่กรูเกรียว
“คุณ!”
ภานิตย์กลั้นใจร้องเรียก
“...”
เงียบ...และนิ่งงัน
มือไม้ของเลขาฯสาวที่เกาะแขนเขาแน่นนั้น เย็นเฉียบ
ภานิตย์กลืนน้ำลายเหนียวหนืดหล่อเลี้ยงลำคออย่างยากลำบาก
ทันใด…
เสียงประตูห้องทำงานของภานิตย์ดังเหมือนถูกเปิดออก สายตาของภานิตย์กับเลขาฯสาวหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน
ประตูเปิดออกจริง แต่มองไม่เห็นใคร
ให้ตายเถอะ! มันอะไรกันเนี่ย? ไม่มีใครสามารถให้คำตอบ
“หึหึหึ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีก คราวนี้เส้นผมของภานิตย์ถึงกับลุกตั้งชัน เลขาฯสาวนั้นไม่ต้องพูดถึง ท่าทางของเธอเหมือนฉี่กำลังจะราดด้วยซ้ำ
“หึ...หึ...หึ!”
เสียงหัวเราะอันชวนให้ขนลุกขนพองสยองเกล้านั้น ต่อให้คนใจแข็งเพียงใดก็ต้องหวั่นไหว ส่วนจะมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่อง
สำหรับภานิตย์กับเลขาฯสาวนั้นคงไม่ต้องพูดถึง วินาทีนี้ สติกระเจิดกระเจิงไปจนหมดสิ้นแล้ว และไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์อันน่าสะพรึงดังกล่าว นอกจาก...เผ่นออกจากสำนักงานในสภาพตื่นตระหนก!!
-----------------------
ภานิตย์ตัดสินใจเปิดคอลัมน์ใหม่ ตั้งนามปากกาเสร็จสรรพ หลังจากนั้นก็รอคอยต้นฉบับที่หวังว่าจะได้มาอย่างพิลึกพิสดาร
ทว่า...กำหนดเส้นตายปิดเล่มมาถึงคราวใด เขาจำเป็นต้องปั่นด้วยตัวเอง ผ่านไป 4-5 ฉบับ ก็มีจดหมายของนักอ่านทยอยมาชมอย่างไม่ขาดสายว่าเรื่องของนักเขียนใหม่ น่าสะพรึงกลัว อ่านแล้วแทบนอนไม่หลับ
ภานิตย์ยิ้มไม่ออก แม้จะดีใจกับคำชมเหล่านั้น แต่เขากำลังกังวลกับเรื่องต่อไปที่จะต้องเขียน...ใช่ เขาเอง สะพรึงกลัวจนนอนไม่หลับยิ่งกว่าท่านผู้อ่านซะอีก!
อ.อเวจี เขียน
รูปภาพโดย Amber Avalona จาก Pixabay
ความคิดเห็น
