อื่นๆ

ผีสาวเสิร์ฟ

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ผีสาวเสิร์ฟ

ภาพโดย Shutterbug75 จาก Pixabay

“หนูจะไปทำงานนะคะ”พ่อมองหน้าลูกสาววัยเพิ่งจะยี่สิบ เธอเพิ่งตกงานมาจากเมืองใหญ่ กลับมาอยู่บ้านเพียงไม่กี่วัน ก็ได้งานใหม่

อาจจะเป็นงานชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดีกว่าอยู่เฉย ๆ เธออธิบายว่า เป็นโรงเบียร์เพิ่งเปิดใหม่ เธอไปสมัครเป็นสาวเสิร์ฟพร้อมกับเพื่อนรุ่นน้องในหมู่บ้าน พ่อไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน จนเมื่อเธอแต่งตัวสวยออกไปจากบ้านในตอนเย็น ยังดีที่อธิบายให้พ่อรับรู้ได้บ้าง ความจริง ฐานะความเป็นอยู่ทางบ้านไม่ได้ยากไร้มากนัก อย่างน้อยที่สุด มีบ้านอยู่อาศัย อาจจะไม่หรูหรา แต่ก็พอคุ้มกะลาหัว พ่อกรีดยางในตอนกลางคืน แม่ทำงานกลางวันโดยไปเป็นลูกจ้างร้านขายปลาในตลาดสด จะว่าไป ถ้าหากไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ก็ต้องเรียกว่ามีความเป็นอยู่ปกติธรรมดาเฉกเช่นคนทำมาหากินทั่วไป ไม่ได้ลำบากลำบน แค่ไม่ได้สะดวกสบายเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเท่านั้น

Advertisement

Advertisement

พ่อไม่เคยห้ามปราม เพราะรู้ดีว่าลูกสาวของพ่อค่อนข้างขยัน สมัยเรียนก็เคยไปช่วยแคะขี้ยาง จนพ่อต้องออกปากเองนั่นแหละว่า ไม่ต้องมาช่วยหรอก แค่เรียนหนังสือและทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอแล้ว ลูกสาวไม่เคยนำความลำบากใจอะไรมาให้เลย มีแต่คนว่า อีกหน่อยพ่อกับแม่จะสบาย เพราะลูกสาวคนนี้นิสัยดี ขยันขันแข็ง ไม่เคยมีเรื่องของผู้ชายแวะเวียนเข้ามาทำความยุ่งยาก การมีลูกสาว เรื่องแบบนี้ก็ต้องทำใจเอาไว้ล่วงหน้า แต่กับเธอดูเหมือนว่ายังไม่เคยมี หญิงสาวเรียนจบม.ปลาย เข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ตามเพื่อน หวังจะได้รับบรรจุเป็นพนักงานประจำ เพราะนั่นหมายถึงสวัสดิการต่าง ๆ ตามมา แต่ก็ลงเอยที่การตกงานเหมือนกับเพื่อนหลาย ๆคนของเธอ สำหรับพ่อ ไม่คิดว่านั่นคือความล้มเหลวอะไร และพ่อคิดว่า ต่อให้ลูกสาวไม่ทำงาน อยู่แค่บ้านช่วยงานบ้านบ้างก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกไปดิ้นรนทำงานข้างนอก

Advertisement

Advertisement

แม่เคยเปรย ๆ กับพ่อเหมือนกันว่า ไม่อยากให้ลูกออกไป คำพูดของชาวบ้านน่ะ อย่าเก็บเอามาใส่ใจให้มากนักเลย ชีวิตเป็นของเรา ควรจะมีโอกาสได้ใช้อย่างที่เราทำ แต่พ่อก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับลูกสาว ในแง่ที่เป็นเหมือนการกดดันเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกสาวพ่ออาจจะคิดไปอีกอย่างหนึ่ง เพื่อน ๆ ของลูกสาวพ่อ บางคนกำลังเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะจบการเรียนแค่มัธยมปลายแล้วเริ่มต้นทำงานมากกว่า

ภาพโดย chot0101 จาก Pixabay

ความเจริญหลั่งไหลเข้ามาในต่างจังหวัด จนกระทั่งอำเภอเล็ก ๆ ของเรามีทุกอย่างที่เมืองใหญ่มี แม้แต่สถานบันเทิงในยามค่ำคืน เมื่อลูกสาวตัดสินใจไปเป็นเด็กเสิร์ฟ อาชีพแบบนั้นก็ใช่ว่าไม่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย กับพวกเพศตรงข้าม คนเราเมื่อมีเหล้าเข้าปากแล้วก็กล้าทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ อย่างน้อย ๆ ก็การพูดจาแทะโลม ซึ่งต้องทำใจ อันที่จริง พ่อไม่สู้จะสบายใจเท่าไรนัก พ่อตื่นออกไปทำงานตั้งแต่ก่อนจะเที่ยงคืน ตอนที่ลูกสาวออกไปทำงาน คือช่วงเวลาที่พ่อหลับลึกที่สุด

Advertisement

Advertisement

จากวันเป็นเดือน ความวิตกกังวลของพ่อก็ค่อย ๆ คลายลง เพราะงานใหม่ของลูกสาวไม่ได้มีปัญหาอะไร พ่อมีโอกาสได้ตื่นมาพบหน้าลูกสาวบ้าง ได้เห็นเธอพูดคุยกับแม่ของเธอ เหมือนบ้านได้กลับมาเป็นบ้านอีกครั้งหนึ่ง การตกงานของลูกสาวจากเมืองใหญ่ มันไม่ใช่วิกฤติหรอก แต่เป็นโอกาสที่จะได้อยู่อย่างพร้อมหน้ามากกว่า

หลัง ๆ มานี้ พ่อจะรอจนกว่าลูกจะกลับจากทำงาน ซึ่งก็คือหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เสียงมอเตอร์ไซค์ของลูกขับเข้ามาจอดในบ้านเรียบร้อย พ่อจึงจะออกจากบ้านไปกรีดยางจนกระทั่งฟ้าสาง ชีวิตดำเนินไปในลักษณะนี้เรื่อยมา ครอบครัวของพ่อ แม่ ลูกสาว ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับครอบครัวอื่นได้หรอกว่า สุขมากกว่าหรือทุกข์มากกว่า เรื่องแบบนี้ ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย เป็นเรื่องเฉพาะตัวทั้งสิ้น พ่อตัดยางเสร็จกลับถึงบ้าน หลับสักงีบหนึ่ง ตื่นไปใส่น้ำกรด กว่าจะเรียบร้อยอีกทีก็ใช้เวลาอีกนับชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ถ้าหากแม่สามารถออกไปช่วยได้เร็ว ก็จะเร็วกว่าเดิม

นับตั้งแต่ลูกสาวกลับมาอยู่บ้าน ลูกไม่ได้เข้ามาช่วยงานที่สวนยางหรอก อาจเป็นเพราะเธอเหนื่อยเพลียจากงานนั่นแหละ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาและพ่อไม่ได้ต้องการให้ลูกสาวเข้ามายุ่งยากกับงานพวกนี้หรอก พ่อทำของพ่อมานานแล้ว ชีวิตของคนทำงานกลางคืนระหว่างของพ่อกับของลูกสาวนั้น เหมือนกันแค่ช่วงเวลา แต่ลักษณะงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พ่อไม่เคยไปดื่มกินในเวลากลางคืนหรอก แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากเท่าไรนักหรอกว่าลักษณะงานที่ลูกสาวต้องเจอนั้นเป็นอย่างไรบ้าง นั่นมันเป็นเรื่องของบันเทิง ต่างจากของพ่อ แค่ทำงานกับต้นยางทีละต้น ทีละต้น เสียงดังแกรก ๆ ของมีดที่ตัดลงไปในต้นยางอย่างบรรจงและช่ำชอง ก้าวผ่านต้นยางแต่ละต้น แสงไฟจากไฟฉายคาดหัวสาดเข้าหามือ มีด และรอยตัดหน้ายาง

งานของพ่อเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นมียาง การดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก นอนกลางวัน ทำงานกลางคืน ใช้เวลานานหลายปีกว่าร่างกายจะปรับเข้าที่เข้าทาง

“ลูกดูเปลี่ยนไปมากนะ”

แม่พูดขึ้น ในวันที่ลูกหายไปจากบ้านเพื่อทำงานที่ร้านเหมือนเดิม ทำเอาพ่อที่เพิ่งตื่นขึ้นมาถึงกับชะงัก มองหน้าคนเป็นภรรยาอย่างประหลาดใจ

“เปลี่ยนยังไง”

“ไม่รู้สิคะ บอกไม่ถูก”

“เช่นอะไรบ้าง” พ่อถาม

“ไม่ค่อยสบตา เหมือนกับมีความลับบางอย่างที่บอกไม่ได้”

“คงไม่เป็นไรมั้ง อาจจะเหนื่อย คนอดหลับอดนอน นอนกลางวันไม่พอก็จะเป็นแบบนั้นแหละ ยิ่งอารมณ์ด้วยแล้ว แปรปรวนเลยละ”

“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ เถอะค่ะ”

พ่อปลอบโยนแม่ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับรู้สึกร้อนรนเป็นพิเศษ ด้วยเคยคิดว่าลูกสาวไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว การได้กลับมาอยู่บ้าน และได้ทำงานใกล้ ๆ บ้าน ทำงานเสร็จกลับถึงบ้านค่อนข้างตรงเวลา ไม่ได้มีท่าทีอะไรผิดปกติ หัวอกของคนเป็นพ่อ ถึงอย่างไรก็ให้รู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินคำพูดในทำนองไม่สบายใจจากคู่ชีวิต เพราะปกติ เธอเองก็เชื่อใจลูกสาวเหมือนกันว่าไม่น่ามีปัญหาอย่างอื่น ลูกไม่เคยนำความลำบากใจใด ๆ มาให้ เรื่องตกงานจากเมืองใหญ่ เธอเองก็ไม่เคยเอามาพูดเพื่อกดดันลูก ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าจะเริ่มคิดมากเรื่องของลูกสาว แต่ภาระหน้าที่ของพ่อก็ยังต้องดำเนินต่อไปเมื่อถึงเวลา เสียงใบมีดตัดยางเฉือนหน้ายางดังแกรก ๆ ๆ ไม่หยุด แสงไฟฉายเคลื่อนจากต้นแล้วต้นเล่า เสียงฝีเท้าย่ำไปบนพื้นที่ชุ่มด้วยน้ำค้าง

ใจของพ่อมีวาบถึงลูกสาวบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ก็กลับมาอยู่ที่งานเหมือนเดิม ดำเนินต่อไปจนกระทั่งจบที่ต้นยางต้นสุดท้าย แต่แล้ว แสงไฟฉายของพ่อก็จับเข้าที่ร่างหนึ่ง พ่อสะดุ้งโหยง เพราะร่างนั้นคือลูกสาว เธอยังแต่งตัวด้วยชุดที่แต่งออกจากบ้านไปเสิร์ฟอาหารเมื่อตอนเย็นั่นแหละ

“ทำไมมานี่ล่ะ” พ่อหลุดปากถาม

“แค่อยากมาช่วย”

“โอ้ย ไม่ต้องละ ทำงานมาดึก ๆ ดื่น ๆ ควรจะรีบหลับนอนได้แล้วนะลูก”

“หนูแค่อยากมาดูพ่อ”

“ไปดูที่บ้านก็ได้” พ่อตอบติดตลก เอาเข้าจริงแล้ว รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะว่า...นานมาแล้วที่ลูกสาวเคยมาช่วยงานในสวนยาง เธอค่อนข้างทะมัดทะแมง ทำงานอย่างลูกชาวไร่ชาวสวนคนหนึ่ง ไม่มีเก้งก้าง เธอถนัดทั้งเรื่องของการตัดยาง แต่ก็นั่นแหละ พ่อไม่ได้อยากให้ลูกต้องมาลำบากแบบพ่อ

“กลับบ้านเถอะ” พ่อเอ่ยในที่สุด “เสร็จแล้วละ”

“หนูไม่ได้มากวนพ่อใช่ไหมคะ” ลูกสาวถามระหว่างที่เดินไปพร้อมกับพ่อ

“กวนอะไรที่ไหน พ่อแค่เป็นห่วง” พ่อตอบตามตรง

ภาพโดย DarkWorkX จาก Pixabay

แสงไฟสาดไปตามทาง รถของพ่อจอดอยู่ไกลลิบ ต้องเดินเท้าอีกสักพัก แต่มันก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ได้ยินเสียงฝีเท้าของพ่อย่ำกับพื้น น่าแปลกที่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของลูกสาว อาจเป็นเพราะเธอใส่รองเท้าหุ้มข้อทะมัดทะแมงก็เป็นได้ ลมแผ่วบางเบา แต่กลับหอบเอากลิ่นฉาววาบเข้าจมูกของพ่อ กำลังจะหลุดปากถามลูกสาวว่าได้กลิ่นเหมือนกันไหม เสียงหมาจากในหมู่บ้านก็หอนโบ๋วให้ความรู้สึกวังเวงดีเหมือนกัน

“พ่อ ถ้าหนูหายไป พ่อจะรู้สึกอะไรไหม”

“ถามแปลก ๆ”

“หนูแค่อยากรู้”

“แค่ลูกไปทำงานในเมืองพ่อก็ห่วงแล้วละ ไปเป็นเด็กเสิร์ฟพ่อยังห่วง ไม่อยากให้ไป แต่ก็ไม่อยากจะค้านอะไร”

“หนูขอโทษที่ทำให้พ่อห่วง” เสียงของลูกสาวสั่นเครือ พ่อเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าลูกสาวกำลังมีบางอย่างผิดปกติ เธออาจจะมีเรื่องไม่สบายใจหรือได้ทำอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด นึกถึงคำพูดของคู่ชีวิตที่บอกว่า ลูกเปลี่ยนไป ก็ยิ่งรู้สึกใจหาย

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”พ่อตัดสินใจถาม

“เปล่าค่ะ”

“ถ้าไม่สบายใจอะไรก็พูดมาเถอะ ลูกไม่เคยมีความลับกับพ่อไม่ใช่รึ”

“ไม่มีค่ะ”

“ถ้างั้นก็พูดมาได้เลย อะไรที่ไม่สบายใจก็พูดออกมา”

ลูกสาวนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง มันเป็นชั่วครู่ที่ทำให้พ่อรู้สึกอึดอัดที่สุดในชีวิต เพราะในระหว่างความชั่วครู่นั้น สายลมหอบเอาเสียงเห่าหอนของหมาในหมู่บ้าน และนำพาเอากลิ่นคาววาบเข้ามากระทบจมูกของพ่อจนอดขนลุกไม่ได้

“หนูแค่อยากกลับบ้าน...” ลูกสาวหลุดปากออกมาในที่สุด

“กลับบ้าน...” พ่ออุทานเสียงเบาหวิว รู้สึกว่าเสียงของเขาเหมือนกับขาดห้วงเสียจนแทบไม่ได้ยิน “ก็ลูกกลับบ้านอยู่แล้ว อีกอย่าง...เราสองกำลังจะกลับบ้าน”

“พ่อ”

“ว่า...”

“พาหนูกลับบ้านนะคะ”

พ่อฉายไฟไปที่รถ แล้วชะงักนิดหนึ่ง ระยะทางจากบ้านมาที่นี่ไม่ใช่ใกล้ ๆ ถ้าจะมาก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์มา พ่อไม่ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ ถ้าอย่างนั้นลูกสาวของพ่อมาด้วยวิธีไหน ความสงสัยทะยานขึ้นสูง กำลังจะถาม หันไฟฉายไปทางลูกสาว แต่...เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

“ลูก! ลูกพ่อ!”

ส่งเสียงเรียกลั่น พร้อมกับอาการขนลุกซู่ ร่างกายของพ่อสั่นเทาหนาวเหน็บ พ่อรวบรวมสติไปที่รถมอเตอร์ไซค์ล้วงหยิบกุญแจออกมาสอดใส่อย่างยากเย็น เพราะมือไม้สั่นเทา จนต้องสบถลั่นอย่างฉุนเฉียวที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไปถึงบ้าน แม่ยืนรออยู่ หน้าตาตื่นตระหนก เธอโผเข้ามาหาพ่อ กอดพ่อ ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว พ่อแทบไม่อยากได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะพ่อเพิ่งพบ เพิ่งได้พูดคุยกับลูกสาวของพ่อ มันไม่ควรจะมีเหตุการณ์ใด ๆ ในแง่ไม่ดีเกิดขึ้น หมายังส่งเสียงเห่าหอนโหยหวน ราวกับว่าพวกมันกำลังรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพ่อและแม่ ท้องฟ้าตะวันออกกำลังสว่างไสวเรืองรองด้วยแสงตะวัน

พ่อกอดคอแม่ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่มีเสียงสะอื้น

พ่อต้องเข้มแข็งให้ได้ เพื่อที่จะเป็นหลักให้กับแม่ พ่อรับปากกับลูกสาวเอาไว้แล้วว่า พ่อจะพาเธอกลับบ้าน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์