อื่นๆ

เทพบุตรขนหัวลุก

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เทพบุตรขนหัวลุก

ภาพโดย Harald Matern จาก Pixabay

เขียนโดย  อ.อเวจี


เทพบุตร  ผู้ชายวัยกลางคน  ในเครื่องแบบเต็มยศ  มองความเรียบร้อยของตัวเองจากกระจกเงาภายในห้องเช่าโกโรโกโสเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนหมุนร่างผละจากมา  เขาเป็นผู้ชายในเครื่องแบบ  เรียกเต็มยศว่า  พนักงานรักษาความปลอดภัย  ย่อ  รปภ.  และเรียกง่ายๆว่า  ยาม

หมดหน้านา  โดยสารรถไฟฟรีจากอุบล  ลงมาเหยียบมหานครบางกอก   น้ำหน้าอย่างเขา  ความรู้ความสามารถอย่างอื่นไม่มี  มีแต่ความอึดความทนแบบหนุ่มใหญ่อาชีพทำนา  งานอื่นคงไม่เหมาะเท่ากับการเป็นรปภ.

เทพบุตรออกจากห้อง  เร่งฝีเท้า  จนเหงื่อซึมจึงถึงสถานที่ทำงาน  เป็นไซด์งานก่อสร้างอาคารพาณิชย์   เขาลงชื่อเปลี่ยนเวรกับรปภ.กะกลางวัน  ปกติจะใช้คนแค่สองคน  แต่ด้วยความที่เทพเป็นรปภ.ใหม่  คืนนี้หัวหน้าสายตรวจจึงพารปภ.อีกคนให้มาอยู่เป็นเพื่อน

“ชื่ออะไรนะ” 

Advertisement

Advertisement

“เทพบุตรครับ”   เขาตอบคำถามของเพื่อนรปภ.ตามประสาซื่อ “ผมเกิดมาขี้เหร่น่ะ  พ่อก็เลยตั้งชื่อให้แบบตรงกันข้ามกับตัวจริง”

“ผมชื่อหอม”  เพื่อนรปภ.บอกชื่อบ้าง  น้ำเสียงของเขาสามารถระบุพิกัดจังหวัดถิ่นเกิดได้ไม่ยาก “บ้านผมอยู่สุพรรณ”

“ผมอยู่อุบล”

“ความจริงผมเพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อเดือนก่อนนี้เอง”  หอม  คนสุพรรณเริ่มแสดงตัวว่าเป็นคนช่างพูด  ซึ่งต่างจากเทพบุตรที่ค่อนข้างเงียบๆ  ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไร  “ที่บ้านทำนาเหมือนกัน  แต่เป็นนาเช่าเขาน่ะ"

“ผมมีนาเป็นของตัวเอง  แต่ไม่มากครับ  ทำปีละครั้ง”  เทพบุตรเล่าบ้าง  “แต่ละปีได้ข้างแค่พอกิน  ไม่มีเหลือขาย”

“คนภาคกลางทำนาเอาไว้ขาย  ซื้อข้าวสารกิน”  หอมว่า  น้ำเสียงออกเหน่อนั้นเหมือนจะขมขื่นอยู่ในที  “ปีนี้โชคร้ายขายข้าวไม่ได้เงิน  คุณคงรู้นะว่าเพราะอะไร”

“เข้าโครงการจำนำข้าวใช่มั้ยครับ”

Advertisement

Advertisement

หอมพยักหน้าหงึกหงัก  “คิดเป็นเงินแสนเชียวนะ  แต่ตอนนี้ไม่มีทุนไปต่อ  สงสัยต้องต้มใบประทวนกิน”

เทพบุตรนิ่งอึ้ง   ด้วยความที่เป็นชาวนาเหมือนกัน  เข้าใจถึงความทุกข์ยากได้เป็นอย่างดี  การทำนาต้องลงทั้งทุนทั้งแรงนานหลายเดือนกว่าจะได้ผลผลิต

บรรยากาศการพูดคุยดูเหมือนจะกร่อยลงไปถนัด   เทพบุตรนึกถึงสภาพครอบครัวของตัวเอง  ไม่ได้ดีกว่าหรืออาจจะเลวกว่าหอมเสียด้วยซ้ำ    เพราะเจอเข้ากับสภาพแห้งแล้ง  ไม่มีผลผลิตออกมาจากท้องนาเลย  เขาพยายามจะพลิกฟื้นแผ่นดินเพื่อปลูกพืชประเภทอื่น   แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก  ด้วยปัญหาใหญ่ก็คือไม่มีทุนนั่นเอง

คุยกันได้สักพัก  หอมเป็นคนบอกเทพบุตรให้เดินตรวจตราดูรอบๆไซด์งาน 

“กลัวผีหรือเปล่าล่ะ”

หอมถามยิ้มๆ 

“ผมไม่เคยเห็นผีซักที”  เทพบุตรตอบทีเล่นทีจริง “ขอให้เจอเถอะน่าจะขอสามตัว”

“หกตัวเลยดีกว่า”  หอมพูดแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ 

Advertisement

Advertisement

สองรปภ.ต่างแยกย้ายกันเดินตรวจ  หัวหน้าสายตรวจกำชับเอาไว้ว่า ยิ่งดึกยิ่งต้องหมั่นเดินตรวจ    ไม่เพียงเฝ้าระวังพวกขโมย  แต่ยังระมัดระวังฟืนไฟอีกด้วย   สองรปภ.หนุ่มใหญ่กลับมาเจอกันอีกรอบที่ป้อมยามด้านหน้าไซด์งาน  เป็นจังหวะเดียวกับหัวหน้าสายตรวจขี่มาตรวจอีกรอบ

“เป็นไงบ้าง”  หัวหน้าถามโดยไม่ได้ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์

“เรียบร้อยดีครับหัวหน้า”  หอมเป็นคนตอบ   ส่วนเทพบุตรได้แค่ยิ้มๆ 

หัวหน้าสายตรวจยืนพูดคุยไม่กี่ประโยคก็ขี่มอเตอร์ไซค์จากไป   หอมนินทาหลับหลังทันทีว่า  หัวหน้าสายตรวจเช่าบ้านอยู่ใกล้กับเขา  เป็นหนุ่มโสด  เงินเดือนไม่ใช่น้อยแต่หมดไปกับเหล้า  ชีวิตไม่ได้ดีกว่าพวกเขาเลย

“แต่ในหน้าที่  เขาเป็นหัวหน้า”

เทพบุตรได้แค่นิ่งฟัง  เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน  ในความเห็นของเขา  หัวหน้าสายตรวจเป็นคนมีอัธยาศัยดี  แต่ไม่ได้ล่วงล่ำความเป็นส่วนตัวของใครมาก  ต่างจากหอมที่พยายามสอบถามข้อมูลของเขาทุกเรื่อง  ราวกับนักสืบ  ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกัน  เทพบุตรได้แต่คิดในใจว่า  คืนต่อไป   เขาขอมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง  ไม่จำเป็นต้องมีหอมมาเป็นเพื่อนก็ได้ 

กลางดึก   หอมคนช่างพูดนั่งสัปหงก  เงียบเสียงไปเรียบร้อย  เทพบุตรไม่ยอมนั่งอยู่กับที่   เขาถูกความง่วงจู่โจมเมื่อเวลาประมาณห้าทุ่มเศษ  พอผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้ว  ก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า   ซึ่งปกติเวลาอยู่บ้านนอก  เขามักมีอาการนอนไม่หลับในเวลาที่คนปกติเขาหลับนอนกัน   เทพบุตรมักจะคาดไฟฉายเดินดุ่มออกไปส่องนกส่องหนูตามทุ่ง   จนรู้สึกง่วงจึงย้อนกลับเข้าบ้าน

อาชีพรปภ.กะกลางคืนจึงนับว่าเหมาะสมกับคนอย่างเทพบุตรที่สุดแล้ว 

คืนแรกผ่านพ้นไปโดยไม่ได้มีเหตุการณ์ผิดปกติใดเกิดขึ้น   เทพบุตรกับหอมแยกย้ายกลับห้องพัก   และพอช่วงค่ำของวันต่อมา  เทพบุตรมาปรากฏตัวที่ไซด์งานก่อสร้าง  คราวนี้ไม่เจอหน้าหอม  แต่ไม่ได้สงสัยอะไร  เพราะคิดว่าหัวหน้าคงให้หอมไปเฝ้ายามที่อื่น

การอยู่เวรยามเพียงลำพังสำหรับเทพบุตรถือว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ  เขาจะได้ไม่ต้องทนนั่งฟังเรื่องราวชาวบ้านจากปากของหอม

เทพบุตรมีวิทยุเล็กๆติดมือมาด้วย   เขาหมุนหาคลื่นลูกทุ่ง  เปิดเบาๆเพื่อให้เสียงเพลงเป็นเพื่อน   การมาอยู่ในเมือง  คลื่นวิทยุมีมากมายจนเลือกไม่หวาดไม่ไหว    คลื่นลูกทุ่งก็มีตั้งหลายสถานี  เลือกฟังได้ตามสะดวก   

เทพบุตรเดินตรวจตราโดยรอบ  ระหว่างนั้นก็แอบประหลาดใจอยู่เหมือนกัน   เพราะคืนนี้แม้แต่หัวหน้าสายตรวจก็ไม่ได้แวะมาดู   เทพบุตรแค่ประหลาดใจโดยไม่ได้สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น  สำหรับเขา  แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อยก็พอ

กำลังจะผ่านช่วงเวลาวิกฤติที่สุดของชีวิต  เมื่อเข็มนาฬิกาขยับผ่านห้าทุ่ม  เทพบุตรรู้สึกว่ากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับความง่วงจนต้องออกมานอกป้อม  สลัดแข้งสลัดขาแล้วเดินดุ่มๆเพื่อตรวจสถานที่รอบๆไซด์งานอีกครั้ง 

สายลมรำเพยแผ่วเบาผ่านหน้า  เทพบุตรรู้สึกเย็นวาบ  นาทีนั้นหูแว่วได้ยินเสียงเห่าขรม  คงเป็นหมาจรจัดสองสามตัวที่เขาเห็นตั้งแต่คืนแรก  

“บรู๊ววววว์...  บรู๋วววว์”

ภาพโดย Harald Matern จาก Pixabay

เทพบุตรชะงักเท้า   เมื่อคีย์เสียงของหมาจรจัดพวกนั้นเปลี่ยนไป  จากเห่ากลายเป็นหอน  เสียงของพวกมันช่างเข้ากับบรรยากาศยามนี้ดีจริงๆ 

โบราณว่าหมาหอนเห็นผี...  เทพบุตรคิดในใจ  โดยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย   เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้เลย  ตอนอยู่บ้านนอกเวลามีงานศพ  เขามักไปนอนเป็นเพื่อนศพเกือบทุกครั้งที่มีโอกาส   ก็ยังไม่เคยเห็นผีปรากฏตัวให้เห็น  มีแต่ศพที่ไร้วิญญาณ

ยามนี้เรื่องกลัวผีย่อมไม่มีอยู่ในหัวของเทพบุตร    ถ้าจะมีคงมีอยู่เรื่องเดียว...  ความง่วง   ร่างกายของเขากำลังต่อสู้เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ให้ได้   เทพบุตรอ้าปากหาวหวอด  สายตาพร่าเห็นดาวระยิบระยับ    นี่ถ้ายอมแพ้  เขาจะหลับสนิททันที 

เทพบุตรพยายามไม่เข้าใกล้ป้อมยาม  เกรงว่าจะพ่ายให้กับความอ่อนแอ   และขืนหัวหน้าสายตรวจมาเห็นในขณะกำลังหลับยาม  คงถูกตำหนิอย่างไม่ต้องสงสัย   แต่ระหว่างนั้นได้ยินเสียงหมาเห่ากระโชกบริเวณด้านหน้าไซด์งานจนต้องรีบสาวเท้าย้อนกลับมา

“อ้าว  นึกว่าใคร” 

เทพบุตรพึมพำ   เพราะมองเห็นหอมกับหัวหน้าสายตรวจนั่งคุยกันอยู่ในป้อมยาม   โดยมีหมาเห่ากระโชกสลับกับหอนจนน่ารำคาญ

เทพบุตรก้มหยิบเศษอิฐจะเขวี้ยงไล่หมาจรจัดพวกนั้น  ก็กลับชะงักเพราะเสียงของหัวหน้าสายตรวจร้องห้ามเอาไว้

“อย่าไปทำมัน   หมามันเห็นผีน่ะ”

เทพบุตรหัวเราะแหะๆ  ความจริงเขาไม่ใช่คนใจดำอำมหิต  แค่เกรงว่าหัวหน้าสายตรวจจะรำคาญเท่านั้นเอง

“โบราณว่าหมาหอนเห็นผีจริงๆนะครับหัวหน้า”

เทพบุตรทิ้งเศษอิฐในมือแล้วเดินเข้าไปหาคนทั้งสอง  ระหว่างนั้น  สายลมรำเพยผ่านใบหน้าของเขาหอบเอากลิ่นคาวราวกับกลิ่นเลือดกระแทกจมูกอย่างแรง  

“ใครที่ไหนมาทำลาบเลือดแถวนี้วะเนี่ย  เปรี้ยวปากจริงๆ”   เทพบุตรพูดเสียงดัง 

“เลือดคนน่ะ”

หอมโพล่งขึ้น   เทพบุตรหัวเราะชอบใจ  ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกขำกับคำพูดของหอมมากถึงเพียงนี้

หัวหน้าสายตรวจก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย  ส่วนหอมคนปล่อยมุกพื้นๆก็พลอยประสานเสียง  กลายเป็นสามเสียงหัวเราะ  เทพบุตรน้ำหูน้ำตาไหล  ความง่วงซึมหายไปปลิดทิ้ง  ในที่สุดเขาก็เอาชนะช่วงเวลาอันวิกฤติที่สุด

เวลากำลังผ่านเที่ยงคืน...

หมาหอนโบร๋ว   พวกมันไม่กล้าอยู่ใกล้ๆป้อมยาม  อาจเกรงว่าเทพบุตรจะเขวี้ยงด้วยก้อนอิฐก็เป็นได้ 

เทพบุตรลากเก้าอี้มานั่ง   วิทยุที่เปิดทิ้งเอาไว้กำลังเข้าข่าวด่วนประจำชั่วโมง  เป็นข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง     หอมที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ความเคลื่อนไหวการเมืองในปัจจุบันกรอกหูให้เขาฟังเมื่อคืนที่ผ่านมา  กำลังนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

หัวหน้าสายตรวจก็ดูจะให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย  เพราะไม่เห็นว่าจะรีบร้อนออกจากป้อมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตรวจเหมือนอย่างคืนก่อน

“มันยิงเอ็ม 79  ถล่มม๊อบอีกแล้ว” 

เทพบุตรเป็นฝ่ายโพล่งออกมา  ทั้งๆที่เขาไม่เคยแสดงออกหรือแม้แต่วิพากษ์วิจารณ์  ทันใด   หอมก็ร้องไห้ออกมาดังลั่น

เสียงของหอนชวนให้ขนลุกมากกว่าเสียงหมาหอนด้วยซ้ำ

เทพบุตรนิ่วหน้าประหลาดใจ  ขนลุกซู่ชูชันขึ้นมาราวกับมีกระดูก  เลือดในกายเริ่มเย็นเฉียบ  ทั้งๆที่หัวใจกำลังกระตุกเต้นอย่างผิดจังหวะ   เพราะพอเขาตั้งใจมองเข้าไปในป้อมยาม   ภาพที่เห็นก็คือ...ร่างของหอมกับหัวหน้าสายตรวจแดงฉานไปด้วยเลือด 

เทพบุตรไม่ใช่คนกลัวผี  และในชีวิตไม่เคยเห็นผีปรากฏตัวให้เห็นซึ่งๆหน้า   บัดนี้ขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้  ม่านตาเริ่มเบิ่งกว้าง  เมื่อคนทั้งสองก้าวออกมาจากป้อม   

คุณพระช่วย!

หอม  มีสภาพเปียกชุ่มไปด้วยเลือด  ใบหน้าแหว่งวิ่น  ดวงตาเบิกถลนออกมานอกเบ้า  มือด้านซ้ายถือแขนข้างขวาที่ขาดหลุดออกจากลำตัว  ส่วนหัวหน้าสายตรวจก็อยู่ในสภาพเละไปทั้งร่างเหมือนกัน  แขนข้างขวาห้อยร่องแร่งจนต้องใช้มือข้างซ้ายประคองเอาไว้

เทพบุตรเพิ่งรู้สึกตัวในเสี้ยววินาทีนั้นเองว่า  ช็อก  เป็นอย่างไร 

คนทั้งสองร้องไห้สลับกับหัวเราะ  และเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทพบุตรก่อนจะค่อยๆลางเลือนไปต่อหน้าต่อตา

“โบร๋วววว์!”

สำนึกสุดท้ายของเทพบุตร  โสตประสาทของเขาได้ยินเสียงหมาหอนยานยะเยือก  ก่อนสติสัมปชัญญะจะดับวูบตรงนั้นเอง  น้ำค้างในช่วงกลางคืนค่อนข้างแรง   ความหนาวเย็นพร่างพรมทำให้เทพบุตรสามารถฟื้นคืนสติขึ้นได้ในเวลาต่อมา 

เทพบุตรขยับลุก  ปวดหนึบบริเวณท้ายทอยที่หงายหลังกระแทกกับพื้น   ยกข้อมือมองเวลา...  ยังอีกเกือบ 3  ชั่วโมงกว่าจะเช้า

นาทีนั้น  เทพบุตรเพิ่งรู้ตัวว่า  อาการกลัวผีนั้นช่างน่าสะท้านหัวใจเสียเหลือเกิน...

รปภ.คนที่มาเปลี่ยนกะกับเทพบุตรในเวลาสองโมงเช้าบอกข่าวร้ายว่า  เมื่อคืนหอมกับหัวหน้าสายตรวจแวะไปกินข้าวใกล้เคียงกับบริเวณที่มีการชุมนุมทางการเมือง   แต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่ทั้งสองคน

เทพบุตรหน้าซีดเผือด   เพราะทันใดนั้นเหมือนกับจะมองเห็นคนทั้งสองยืนอยู่เบื้องหลังเพื่อนรปภ.ผู้นำข่าวมาบอก  ทั้งๆที่เวลาขณะนี้กลางวันแสกๆ! 

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์