ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเริ่มจากที่ผู้เขียนเองได้รู้จักและเรียนรู้มาบ้างเกี่ยวกับ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ จนถึงตอนนี้ปี พ.ศ.2563 ที่มีความท้าทายถึง 2 อย่างเกิดขึ้นทั่วโลก นั่นก็คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจก็ตาม หลักการดังกล่าวยังเป็นแก่นแท้ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้เพื่อความอยู่รอด ผู้เขียนจะขอพูดถึงในส่วนของผลจากการปฏิบัติจริงโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่สู่ความยั่งยืน ที่ได้นำมาปรับใช้ที่บ้านของพ่ออ่องและแม่เปรมค่ะ ผู้เขียนมองว่า หลักการความพอเพียงนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ แต่ในส่วนของทฤษฎีใหม่จะเห็นชัดเจนในด้านการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยจะปรับใช้ในแต่ละส่วนตามความเหมาะสม ตัวเลขของสัดส่วนในการจัดการด้านต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับพื้นที่ ประสบการณ์ องค์ความรู้และที่สำคัญเลยคือเงินทุนของตัวเอง ที่บ้านของพ่ออ่องกับแม่เปรมนั้นมีการจัดการดังต่อไปนี้ค่ะ ## ด้านที่พักอาศัย ได้แบ่งพื้นที่ด้านหน้าติดกับทางสาธารณะประโยชน์ เพื่อสร้างบ้านปูนชั้นเดียว โดยมีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 140 ตารางวา ภายในมีจำนวน 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวและ 1 ห้องนั่งเล่น บรรยากาศล้อมรอบด้วยทุ่งนาสีเขียวขจี ## แหล่งน้ำผิวดินเพื่อการเกษตร เป็นสระที่ขุดมานานแล้ว สภาพในขณะนี้ที่ได้นำมาเขียนบทความ (พ.ศ.2563) สระตื้นเขินบ้างแล้ว แต่ยังสามารถที่จะใช้เก็บกักน้ำได้เพียงพอในระหว่างทำการเกษตรตลอดทั้งปี ประกอบกับยังมีน้ำจากคลองส่งน้ำชลประทานเพื่อการเกษตรที่ส่งน้ำมาจากเขื่อนลำนางรองอีกด้วย ในส่วนของน้ำดื่มที่นี่ใช้น้ำบาดาลผ่านการกรองด้วยเครื่องกรองน้ำ ทั้งยังใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคอื่นๆ ด้วย ## พืชจำพวกไม้ยืนต้น เพาะพันธุ์เองบางส่วนและซื้อต้นพันธุ์ในบางชนิด โดยมีมะพร้าว มะม่วง และขนุนเป็นหลัก ชนิดอื่นๆ เพียงแค่ปลูกเสริมเท่านั้น ได้แก่ ส้มโอ ลำไย มะขามเทศ ตะลิงปลิง น้อยหน่า มะนาว เป็นต้น ## พืชผักสวนครัว เพาะปลูกแบบหมุนเวียนตามฤดูกาลประกอบพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เอื้อต่อการปลูกว่าควรจะเลือกชนิดใดไม่จำเพาะเจาะจง ได้แก่ มะเขือเปราะ โหระพา นางลัก กระถิน มะเขือพวง ข่าแดง ตะไคร้ พริก กะเพรา มะละกอ เป็นต้น ทั้งหมดเป็นผักปลอดสารพิษ ใช้น้ำปุ๋ยหมักที่ผลิตขึ้นเองจากเศษผักสลับกับใช้ปุ๋ยเคมีในบางครั้งเพื่อบำรุงพืชให้ได้รับธาตุอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต พืชผักทุกชนิดหากมีมากเกินกว่าที่จะบริโภคภายในครัวเรือน จะถูกเก็บจำหน่ายให้กับแม่ค้าคนกลางในตลาดประชารัฐ อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ ถ้ามีโอกาสผู้เขียนจะมาเล่าเกี่ยวกับตลาดในบทความต่อๆ ไปค่ะ เผื่อมีใครอยากจะมาจับจ่ายเลือกซื้อพืชผักพื้นบ้านกัน ## สัตว์เลี้ยงที่สามารถสร้างรายได้ จะเลี้ยงเป็ดเพื่อบริโภคไข่ แต่ในส่วนของไก่จะจำหน่ายไก่สาวให้กับแม่ค้าในตลาดเป็นหลัก ไก่ที่เลี้ยงเป็นพันธุ์สามสายเลือด จะให้พวกเศษผักและเศษอาหารที่เกิดขึ้นภายในครัวเรือน สำหรับอาหารสำเร็จรูปนั้นจะให้เสริมกับอาหารหลักในบางกรณีและจะใช้ในช่วงที่ไก่มีอายุยังน้อยเท่านั้น ในบางช่วงจะให้รำข้าวเสริม เพราะที่นี่มีเครื่องสีข้าวขนาดเล็กที่ใช้ในครัวเรือน เดินเครื่องโดยพ่วงต่อเข้ากับรถไถนาแบบเดินตาม จึงสามารถได้รำข้าวจากการสีข้าว ## นาข้าว จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ ข้าวเหนียวพันธุ์ กข.6 และข้าวเจ้าขาวหอมมะลิ 105 เลือกใช้วิธีการปลูกทั้งแบบปักดำด้วยมือและหว่าน ใช้ปุ๋ยเคมีบำรุงข้าวเฉพาะในระยะที่จำเป็นเท่านั้น ข้าวส่วนใหญ่จะเก็บไว้เพื่อการบริโภค ประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก็จะเป็นช่วงฤดูกาลการเก็บเกี่ยวข้าว ที่เรียกว่า ข้าวนาปี และหลังจากนั้นหากมีการปลูกข้าวอีก จะเรียกว่า ข้าวนาปรัง ## ด้านการจัดการขยะอินทรีย์ เศษอาหารและเศษผักในส่วนที่เป็ดและไก่กินได้จะแยกไว้ให้เป็ดและไก่ส่วนที่เหลือจะนำมากองหมักทำปุ๋ยและนำปุ๋ยมาใช้ในพื้นที่การเกษตร ความยั่งยืนเกิดขึ้นจากที่เราสามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยการหันมาพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องและให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปรับเปลี่ยนทิศทางของรูปแบบในการสร้างรายได้ นำทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัวมาเป็นแหล่งอาหาร ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ลดการปล่อยมลพิษลดขยะอินทรีย์ นำเทคโนโลยีมาใช้บ้างเท่าที่จำเป็น ต่อให้จะมีความท้าทายอื่นๆ เข้ามา การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ถือเป็นอีกทางออกหนึ่งค่ะ สามารถเดินทางมาดูพื้นที่จริงได้เลยค่ะ การเดินทางมาที่อำเภอโนนดินแดง จะมาได้จากถนนหลักคือ ถนนสายตาพระยา-ละหานทราย เมื่อมาถึงที่ตัวอำเภอให้เข้ามาในซอยข้างร้าน 7-11 ชื่อซอยถนนสุขาภิบาล 5 มาเรื่อยๆ จุดสุดซอยมาเลี้ยวขวาข้างวัดโนนดินแดงเหนือ (หรือจะถามคนในพื้นที่ก็ได้ค่ะว่า ทางไปบ้านโคกขี้เหล็กไปทางไหน) มาจนถึงถนนลาดยาง โค้งแรกของถนนให้เลี้ยวขวาเป็นถนนลูกรัง ประมาณ 300 เมตร จากทางโค้งก็จะถึงค่ะ ระยะทางจากตัวอำเภอโนนดินแดงมาที่นี่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ผู้เขียนหวังว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถจุดประกายแนวความคิดให้กับหลายๆ คน เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในรูปแบบที่เป็นไปได้ในแบบฉบับของแต่ละคนนะคะ