นาทีนี้ ไม่พูดถึงปรากฏการณ์ "Lalisa" ฟีเวอร์ ไม่ได้เลยจริงๆ ผู้เขียนเอง ก็ติ่งคนนึงเลยแหละ ดู MV วนๆ ไปกว่า 10 รอบแล้ว... ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ในความไม่เบื่อ ได้ความรู้ด้วย... ใครๆ ก็พูดถึงกระแสความเป็นไทยที่ได้เห็นใน MV การเผยแพร่วัฒนธรรม รวมไปถึงการส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจกันมาเยอะมาก ผู้เขียนเอง ก็อยากแชร์สิ่งที่ผู้เขียนเรียกมันว่า "ประสบการณ์ในฐานะผู้รับสื่อ" จากมุมมองผู้เขียนบ้าง "Lalisa" สู่มุมการตลาดแบบง่ายๆ อย่างแรกเลย กว่าจะเป็น MV นี้ เพลงนี้ มันผ่านการคิด วิเคราะห์ สำรวจความเห็นมาแล้ว จากบทสัมภาษณ์ "น้องลิซ่า" ในรายการของ "พี่วู้ดดี้" ที่ว่า "หนูเป็นคนไทย แล้วอยากจะพรีเซนต์ก็เลยบอกทางไดเร็กเตอร์มิวสิกวิดีโอว่าหนูอยากใส่ความเป็นไทยลงไป แล้วเขาก็ทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ" จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ความต้องการของน้องลิซ่า คือ "โจทย์" ทีมไดเร็กเตอร์นำมาคิด วิเคราะห์ต่อ จนได้ผลสรุปออกมาอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นชุดไทยประยุกต์ หรือแม้แต่เครื่องตกแต่งตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า รวมถึงลีลาท่าเต้น การตลาด ที่มีการวางแผน มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน อย่างแรกที่เห็นชัดเจนคือ การใช้ Social Media สร้างกระแส ด้วยการวางแผนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ การทำให้เป็นข่าวช่วงระยะเวลาหนึ่งเลย และไม่ปล่อยให้กระแส Drop ลงไป จะเห็นการทยอยปล่อยภาพสื่อ เช่น โปสเตอร์ ทีเซอร์ ซึ่งเป็นสื่อไวรัลที่มีพลัง จากนั้น จึงเปิดพรีออเดอร์สินค้าที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเพลง เสื้อ หมวก เยอะไปหมด แม้กระทั่งเครื่องสำอาง ทำให้รู้ดีมานต์ตลาด ไม่พลาดการลงทุน เพราะ "ทุกอย่างบนตัวไอดอล คือสิ่งที่ขายได้" อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นคือ ทุกอย่างที่สื่อสารออกมาก่อนหน้า ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจหลังได้รับชม MV และเพลงเต็มลดลงเลย แต่กลับประทับใจมากกว่าเดิม นั่นแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การสื่อสารที่ดีมากๆ เป็นการวางหมากที่ดีมากๆ “บอกไม่หมดก็จริง แต่สื่อแต่ละชิ้นมีความชัดเจนขายได้ในตัวสื่อนั้นๆ บ่งบอกถึงตัวตนและชวนให้ติดตามต่อด้วยความคาดหวังด้วยระยะเวลาที่เหมาะสม มีการกำหนดช่วงเวลาให้ติดตามที่เหมือนนัดหมาย Grand Opening และสุดท้าย การเล่นกับความคาดหวังที่สร้างสิ่งที่เหนือความคาดหวัง ความเซอร์ไพรส์ จาก "Lalisa" เด็กไทยคนหนึ่ง ที่ดังไกลระดับโลก ยังไม่หมดแค่นี้ ทุกอย่างที่น้องพูดถึงประเทศไทย มันคือ "กระแสบวก" ต่อเศรษฐกิจไทยจริงๆ แค่ 1 เรื่องราว ที่น้องลิซ่าคิดถึงรองจากคุณพ่อ คุณแม่ คือ "อาหารไทย" และ "ลูกชิ้นยืนกินเจ้าเด็ดที่สถานีรถไฟบุรีรัมย์ เด็ดที่น้ำจิ้ม และต้องเป็นเจ้าที่มีน้ำพริกเผา เท่านั้น ! ด้วย" 1 ประโยคบอกเล่าความคิดถึง กลายเป็นกระแสที่ทุกสื่อ รวมถึงคนไทย ต่างตามหาร้านลูกชิ้นร้านนั้น 1 ปาก จากน้องลิซ่า สร้างพลังการบอกต่อบนโลกโซเชียล คิดดูว่า จะมีคนไปตามหาร้าน ไปรอซื้อลูกชิ้นหน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์อีกมากแค่ไหน คิดเล่นๆ ว่า จะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากเรื่องนี้ 1. ร้านลูกชิ้นยืนกิน ได้รับผลทางตรงเต็มๆ คงขายดียิ่งกว่าเดิม 2. ร้านลูกชิ้นยืนกิน ที่ขาย Online & Delivery เวิลด์วาย ทั่วไทย 3. ร้านค้าบริเวณใกล้เคียง ได้มีรายได้ทางอ้อม เช่น กินลูกชิ้นแล้วหิวน้ำ 555555 มันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องขำๆ แต่มันได้ประโยชน์จริงๆ นะ 4. สถานีรถไฟบุรีรัมย์ กลายเป็น Land Mark ใหม่ ในการไปถ่ายรูปและบอกต่อบนโซเชียลของทุกคนว่า ครั้งหนึ่ง ฉันเคยมาตามรอยน้องลิซ่าแล้วนะ 5. จังหวัดบุรีรัมย์ และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว (เมื่อโควิดซาลง) 6. ประเทศไทย มีเรื่องให้ชาวต่างชาติพูดถึงอีกมากมายจากปรากฏการณ์หลัก และปรากฏการณ์รอง ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรมไทยที่สวยงามผ่านชุดไทยประยุกต์ บุรีรัมย์จังหวัดบ้านเกิดน้องลิซ่าที่น่าไปเที่ยว หรือแม้แต่ Street food ลูกชิ้นยืนกิน ที่ต้องไปกินให้ได้สักครั้ง ว่าอร่อยแค่ไหน ถึงขนาดที่น้องประทับใจจนถึงทุกวันนี้ ผู้เขียนเองก็มีร้านลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียนที่คิดถึงความเด็ดของตัวลูกชิ้นกรอบๆ กับน้ำจิ้มที่รสชาติไม่เหมือนใคร คงอารมณ์ประมาณเดียวกันกับที่น้องประทับใจไม่รู้ลืม ลูกชิ้นยืนกิน ตั้งอยู่ในสถานีรถไฟบุรีรัมย์ อยู่บริเวณชานชาลา หลังสถานีรถไฟ มีอยู่กว่า 10 ร้าน ส่วนจะเป็นร้านไหน คุณผู้อ่าน ต้องไปให้ถึงที่ แล้วถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นดูนะจ๊ะ เหมือนตามหาลายแทงขุมทรัพย์ สนุกไปอีกแบบจ้าาา ภาพ info-graphic : เนื้อหาและออกแบบ โดย S.Karn อัปเดตความรู้ใหม่ ๆ อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !