สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน หากคุณกำลังมองหาแหล่งเรียนรู้ใหม่ ๆ หรือสถานที่ทัศนศึกษาแปลกตา น่าสนใจ มีความหลากหลายและสนับสนุนเยาวชนไทยให้ก้าวสู่สากลอย่างสง่างาม เราขอแนะนำโรงเรียนมีชัยพัฒนา โรงเรียนในเครือของมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน เพราะโรงเรียนนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นหนึ่งเดียวในประเทศไทย ภายใต้แนวคิดด้านความเท่าเทียมทางการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งผู้เขียนคือหนึ่งในผู้ที่เคยไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนแห่งนี้ จึงได้นำประสบการณ์และความประทับใจที่ล้นกระเป๋ามาแบ่งปันทุกท่านค่ะ โรงเรียนมีชัยพัฒนา ถือเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่เป็นโรงเรียนในฝันของใครหลาย ๆ คน เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนแล้ว ความโดดเด่นที่สัมผัสได้เมื่อแรกเห็นคือ ความร่มรื่น เย็นสบาย จากต้นไม้นานาชนิด มีคลองและบรรยากาศธรรมชาติที่คนเมืองยังต้องอิจฉา ความพิเศษที่เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยคือ โรงเรียนสร้างจากไม้ไผ่ทุกหลัง และความพิเศษหนึ่งเดียวในโลกคือ โรงเรียนมีอาคารโดมไม้ไผ่เอนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกด้วย โรงเรียนแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “โรงเรียนไม้ไผ่” แต่ความน่าสนใจไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้หรอกค่ะ โรงเรียนแห่งนี้ยังเป็นโรงเรียนต้นแบบที่พัฒนาเยาวชนให้เป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุขอย่างแท้จริงอีกด้วย คนเก่ง... โรงเรียนแห่งนี้สอนนักเรียนให้เป็นคนเก่ง โดยคำนึงถึงความเท่าเทียบระหว่างบุคคลไม่ว่าจะเป็นเพศใด ร่างกายเป็นแบบใด ฐานะแบบใด ก็สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง เพราะโรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้สอนเพียงแค่วิชาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 เท่านั้น แต่ยังสอนทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย โดยเน้นการส่งเสริมให้นักเรียนคิดเป็น ถามเป็น และรู้จักค้นคว้าหาคำตอบ คิดนอกกรอบ แต่ไม่ทิ้งรากเหง้าวัฒนธรรมที่ดีงาม ความสมดุลกับวิถีชีวิตและธรรมชาติ การเกษตรจึงเป็นหนึ่งในวิชาหลักที่นักเรียนทุกคนจะต้องเรียนรู้ เช่น การปลูกผักด้วยระบบไฮโดรโปรนิค การเกษตรโดยระบบปลูกผักไร้ดิน การเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น และสอนให้นักเรียนสร้างธุรกิจได้ด้วยตนเอง เช่น มะนาววัยใส ถั่วงอกคอนโด ข้าวหอมมะลิ เป็นต้น นอกจากนี้นักเรียนทุกคนยังมีความสามารถด้านอื่น ๆ จากการเรียนรู้ในโรงเรียนอีกด้วย เช่นการเล่นดนตรี โดยเฉพาะอูคูเลเล่ ซึ่งเมื่อทุกท่านไปถึงจะได้รับการต้อนรับด้วยเสียงดนตรีอูคูเลเล่จากนักเรียนมากกว่า 20 ชีวิต อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ความรู้ทุกแง่มุมได้จากมัคคุเทศก์น้อย ซึ่งเป็นนักเรียนในโรงเรียนได้อย่างใกล้ชิด โดยนักเรียนทุกคนในโรงเรียนสามารถพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษาคือภาษาไทยและภาษาอังกฤษและทุกคนเป็นมัคคุเทศก์ให้ทุกท่านได้เป็นอย่างดี คนดี... โรงเรียนแห่งเดียวในประเทศไทยที่จ่ายค่าเทอมด้วย “ความดี” ใช่ค่ะ ! ทุกท่านอ่านไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะโรงเรียนแห่งนี้จ่ายค่าเทอมโดย การทำความดี 400 ชั่วโมง ปลูกต้นไม้ 400 ต้นต่อปี ทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งเกิดจากแนวคิดของผู้อำนวยการโรงเรียน คุณมีชัย วีระไวทยะ เพราะการแบ่งปันในสังคมคือสิ่งที่ต้องปลูกในใจของนักเรียนทุกคน โดยการทำความดีของนักเรียนก็มีหลายรูปแบบ เช่น การเผยแพร่ความรู้ ด้านการเกษตรให้แก่ชุมชน การทำอาหารไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาล การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ให้แก่ประเทศที่ขาดแคลนไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้โรงเรียนยังปลูกฝังความรักถิ่นฐานบ้านเกิดให้กับนักเรียนอีกด้วย ซึ่งจากการสัมภาษณ์นักเรียนหลายคนในโรงเรียนว่าในอนาคตอยากเป็นอะไร ทุกคนมีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป แต่หนึ่งในคำตอบที่เหมือนกันคือ จะกลับไปทำงานที่ถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองและนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่และพัฒนาชุมชนต่อไป มีความสุข... การเรียนรู้ที่โรงเรียนแห่งนี้ เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสนุกสนาน ต่างจากภาพที่เราเห็นทั่วไปที่โรงเรียนย่อมมีการแข่งขันและความเคร่งเครียด เพราะครูทุกท่านเน้นการบูรณาการการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน ให้ความรู้ที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันอย่างสนุกสนาน เช่น การเรียนรู้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development GOALS) 20 ข้อ นักเรียนสามารถย้อมผมตามสีของ แต่ละข้อได้ในเวลาที่กำหนด เพื่อเข้าใจและตระหนักถึงแนวคิดได้อย่างถ่องแท้และเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้ที่สอบถามว่าสีผมนี้ได้มาอย่างไรด้วย หรือ ต้นไม้หลากสีจากแนวคิดที่ว่า สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ยังสามารถแต่งตัวและแต่งแต้มสีสันให้มีชีวิตชีวาได้ แล้วทำไมต้นไม้จะมีสีสันไม่ได้ หรือการเพาะเนื้อเยื่อของพืชพันธุ์ต่าง ๆ โดยมีห้องปฏิบัติการจริง มีการเพาะเนื้อเยื่อจริงและจำหน่ายจริง เป็นต้น ความประทับใจ... ความเท่าเทียมคือหนึ่งในความประทับใจจากผู้เขียน เพราะโรงเรียนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเพศใด ร่างกายเป็นแบบใด ฐานะแบบใด ก็สามารถเรียนรู้ได้และได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน โดยไม่ว่านักเรียนจะเป็นเพศใดต้องสามารถทำได้ทุกอย่าง เช่น ผู้หญิงก็สามารถยกโต๊ะ เก้าอี้หรือตะกร้าผักที่ หนักได้จากการช่วยเหลือกัน เป็นต้น หรือจะเป็นนักเรียนที่เป็นผู้พิการก็สามารถมาเรียนโรงเรียนแห่งนี้ได้ โดยโรงเรียนจะสอนทักษะชีวิตและทักษะอาชีพต่าง ๆ ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ เช่น ผู้พิการทางสายตา โรงเรียนจะสอนการปลูกผักที่สามารถสังเกตได้จากกลิ่น หรือผู้พิการทางร่างกายก็สามารถนั่งรถเข็นปลูกผักได้ เป็นต้น อีกทั้งโรงเรียนยังสอนให้นักเรียนเข้าใจถึงจิตใจของผู้พิการ โดยนักเรียนทุกคนจะต้องผลัดกันลองใช้ชีวิตเป็นผู้พิการทางร่างกายและผู้พิการทางสายตาในทุกปีการศึกษา ทำให้นักเรียนทุกคนได้เรียนรู้ว่า ผู้พิการทุกคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและดำรงชีวิตได้อย่างปกติและมีความสุข การบริหารโรงเรียนโดยนักเรียนเป็นผู้บริหารทั้งหมด ใครจะไปเชื่อว่าจะมีโรงเรียนที่นักเรียนบริหารโรงเรียนในทุกส่วนจริง ๆ แต่เกิดขึ้นแล้วที่โรงเรียนแห่งนี้ค่ะ ตั้งแต่การรับสมัครครูผู้สอนจากการสัมภาษณ์และการทดลองสอนโดยมีนักเรียนเป็นผู้ประเมิน การบริหารงบประมาณทั้งหมดตั้งแต่การซื้อรถประจำโรงเรียนจนกระทั่งของใช้ในชีวิตประจำวันของนักเรียนทุกคน การหารายได้เข้าโรงเรียนจากการทำธุรกิจต่าง ๆ เช่น การขายผักที่ปลูกในโรงเรียน เป็นต้น นัยสำคัญและเรื่องราวต่าง ๆ เกือบทุกจุดในโรงเรียน ระหว่างการพูดคุยกับมัคคุเทศก์น้อย หากผ่านไปสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียนก็มักจะมีเรื่องเล่าและนัยสำคัญเสมอ เช่น สะพานสวัสดี ซึ่งสะพานแห่งนี้เดิมมีนักเรียนตะโกนพูดคุยกันเป็นประจำ ทุกคนจึงร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยการตั้งชื่อสะพานว่า “สะพานสวัสดี” เพราะหากผ่านมาที่สะพานนี้แทนที่จะตะโกนคุยกันก็ให้ทักทายและสวัสดีกันอย่างสุภาพ หรือประตูเขาควาย มีนัยสำคัญว่า หากผ่านประตูเขาควายมาแล้วจะพบกับการเรียนรู้ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เป็นต้น สิ่งที่ผู้เขียนได้เล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรงเรียนมีชัยพัฒนาเท่านั้น หากทุกท่านต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ เปิดใจกว้างรับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและคาดหวังแหล่งการเรียนรู้ที่มีมากกว่าความรู้ ทุกท่านลองเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนแห่งนี้สิคะ ซึ่งติดต่อได้ที่ธุรการโรงเรียน 044-661-581 (ต่อ 101) หรือ 089-949-6539 หรือ สำนักงานครู 044-661-683 หรือ Email: mechaipattana@gmail.com และสามารถค้นคว้าหรือค้นหาข้อมูลของโรงเรียนเพิ่มเติมได้ที่ Website: www.mechaipattana.ac.th ค่ะ